สามารถสืบค้นผลงานวิจัยและองค์ความรู้การเกษตร ได้ที่ https://tarr.arda.or.th/ปี 2565

กระบองเพชร ปรับสภาพจนโดดเด่น

กระบองเพชร เป็นไม้ประดับ ทนแล้ง ที่มีกระแสความนิยมในตลาดมายาวนาน เพราะมีความงดงามและเลี้ยงง่าย มีความเชื่อกันว่าต้นกระบองเพชรนั้นเคยมีลำต้นแตกกิ่ง ผลิดอกใบเหมือนต้นไม้ทั่วไป แต่ด้วยความแห้งแล้งกลางทะเลทรายเลยทำให้ต้นไม้ปรับสภาพตนเองเพื่อให้อยู่รอด ด้วยการพัฒนาตัวเองให้เก็บสำรองน้ำไว้ในลำต้นได้เก็บ 90% ทำให้ลำต้นสั้นลง และหดขนาดใบเล็กลงและกลายเป็นหนามปกคลุมลำต้นเพื่อพรางวามร้อนของดวงอาทิตย์แผดเผา จึงกลายมาเป็นต้นไม้ทรงแตกต่างจากต้นไม้ทั่วไป ไม่มีใบ มีแต่หนาม และด้วยรูปทรงลำต้นที่สูงยาวคล้ายกระบองจึงถูกเรียกว่ากระบองเพชร โดยคำว่าเพชร น่าจะมาจากประกายแสงเมื่อกระทบขนบริเวณลำต้น ที่ส่องแสงวาววับนั่นเอง

กระบองเพชร เป็นไม้ล้มลุก ไม้เลื้อย ไม้พุ่ม มีอายุหลายปี มักพบในที่แห้งแล้ง ลำต้นมีทั้งทรงกระบอกและทรงแบน ไม่มีกิ่งก้าน มีรากแตกออกมาบริเวณผิว มีหนามขึ้นเป็นกลุ่ม และจะผลิดอกใกล้ๆกับขุมหนาม ไม่มีก้านดอก สกุลที่พบมากในประเทศไทยคือ ตาลปัตรฤาษี หนามเสมา และโบตั๋น

ส่วนใหญ่คนมักคิดว่าเราจะพบกระบองเพชรได้ในทะเลทรายเท่านั้น แต่ความเป็นจริงแล้วเราสามารถพบได้ทั่วไปในทุกสภาพอากาศ หากเติบโตในพื้นที่แห้งแล้งก็จะเติบโตออกมาเป็นทรงกระบอกสั้น เพื่อเก็บสะสมน้ำได้เต็มที่ แต่หากเกิดในบริเวณชุ่มชื้นก็จะมีรูปทรงของลำต้นแบน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทุกวันนี้เราจะพบกระบองเพชรได้ทั่วไป ไม่ว่าจะบริเวณโต๊ะทำงาน ชายทะเล หรือป่าเขา และที่นิยมกันที่สุดก็คงเป็นโต๊ะทำงานนั่นแหละครับ

ความนิยมนำกระบองเพชรหรือแคคตัสมาเป็นไม้ประดับนี้ ทำให้เกิดเป็นอาชีพใหม่ คือการเพาะพันธุ์และปรับปรุงพันธุ์เพื่อขายให้แก่ผู้นิยมสะสมกระบองเพชร ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เพื่อนๆ เกษตรกรรายย่อยวัยเยาว์บางคนได้นำแคคตัสไปโพสต์ขายบนอีเบย์ ก็ทำเงินได้ไม่น้อยเลย แค่เคาะดินออกและห่อกระดาษทิชชู่ดีๆก็ส่งไปถึงสหรัฐอเมริกาได้สบาย หรือแค่จะขายในประเทศไทยก็มีตลาดรองรับ เพราะคนนิยมนำไปเป็นของขวัญของฝากให้แก่ญาติมิตรกันเยอะ และด้วยคุณสมบัติการดูดแสงของกระบองเพชร จึงทำให้คนนิยมซื้อเพื่อไปวางที่โต๊ะทำงานเพื่อดูดแสงจากคอมพิวเตอร์กันด้วยครับ และพันธุ์ที่ขายดีเป็นอันดับต้นๆ ก็คือพันธุ์ แมมมิลลาเรีย ยิมโน แอสโตรไฟตัม และฮาโวเทีย ครับ

การเพาะพันธุ์กระบองเพชรขายนั้นสามารถทำได้โดยการใช้เมล็ดพันธุ์มาเพาะ แต่ใช้เวลาในการปลูกนานนับปี หรือจะใช้วิธีการแยกหน่อ ซึ่งสะดวกและได้ผลเร็วกว่า แล้วนำไปปลูกบนดินที่ไม่มีน้ำขัง อาจจะผสมถ่านลงไปด้วยเพื่อให้ดินโปร่งขึ้น ระบายน้ำได้ดีขึ้น แล้วรดน้ำสัปดาห์ละ 2 ครั้งก็เพียงพอแล้วครับ

สามารถสืบค้นผลงานวิจัยและองค์ความรู้การเกษตร ได้ที่  https://tarr.arda.or.th

พันธมิตร

Chulabook