สามารถสืบค้นผลงานวิจัยและองค์ความรู้การเกษตร ได้ที่ https://tarr.arda.or.th/ปี 2565

ชมพู่น้ำดอกไม้ ผลไม้ที่เกือบจะสูญหายไป

ชมพู่น้ำดอกไม้ จัดเป็นชมพู่พันธุ์ดั้งเดิม มีต้นเป็นทรงพุ่ม เป็นไม้ยืนต้นขนาดปานกลาง สูงประมาณ 6 เมตร ลำต้นไม่มีการแตกแขนงมาก เปลือกต้นสีน้ำตาลอ่อน กิ่งแขนงจะแตกออกเป็นมุมเป็นสีแดงแล้วค่อยเปลี่ยนสีเขียวเมื่อแก่ขึ้น ใบเล็กเรียวยาวสีเขียว  ดอกมีขนาดใหญ่ ก้านดอกสั้น สีขาวนวล มีกลิ่นหอม  ร่วงหล่นง่าย ผลชมพู่พันธุ์นี้มีรูปทรงเกือบกลม บริเวณขั้วผลมีความเรียวแคบ เมื่อสุกจะมีสีขาวอมเหลืองหรืออาจจะมีสีชมพูบ้าง มีเนื้อบาง มีช่องว่างเป็นโพรงด้านในผล กรอบ รสชาติหวาน เนื้อผลมีกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นดอกกุหลาบ เหมือนชื่อภาษาอังกฤษที่ชื่อว่า Rose apple มีเมล็ดโต เมื่อรวมเข้ากับเนื้อผลที่บาง และผิวผลเหี่ยวเร็ว ให้ผลผลิตน้อย จึงทำให้ไม่ได้รับความนิยมในเชิงการค้ามากนัก ทำให้ต้นชมพู่ชนิดนี้มีน้อยลงเรื่อยๆ

ถิ่นกำเนิดของชมพู่น้ำดอกไม้นั้นยังไม่ทราบที่มาอย่างชัดเจน แต่พบได้ทั่วไปทั้งในประเทศอินเดีย มาเลเซีย และรัฐฟลอริด้าและแคลิฟอร์เนียในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยส่วนใหญ่ปลูกเพื่อใช้ประโยชน์เป็นร่มเงาให้แก่บ้านเรือน ส่วนของผลสามารถนำมารับประทานได้ และสามารถสกัดแทนนินจากผลไปใช้ประโยชน์ทางยาได้ ในส่วนของลำต้นก็ยังนำไปแปรรูปเป็นของใช้ในบ้าน นอกจากนั้นยังมีการศึกษาพบว่าชมพู่น้ำดอกไม้มีสรรพคุณที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ ซี อี บี2 บี3 บี1 ธาตุแคลเซียม โพแทสเซียม และกรดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายสูง จึงเป็นผลไม้ที่ใช้บำรุงร่างกาย เพิ่มกำลังวังชาได้ดี และยังสามารถรับประทานเพื่อป้องกันเบาหวาน บรรเทาอาการเกี่ยวกับลำไส้ แก้โรคลักปิดลักเปิด เพิ่มภูมิต้านทาน แก้อาการปวดเกร็งในกระเพาะอาหาร เรียกได้ว่ามีประโยชน์มากมายเลยครับ

ด้วยข้อดีเยอะแยะขนาดนี้ ก็เลยจะมาชวนเพื่อนๆ เกษตรกรปลูกชมพู่น้ำดอกไม้ติดสวนติดบ้านไว้ซักต้นก็คงจะดีไม่น้อยครับ และเพื่อนๆหลายท่านก็นิยมปลูกชมพู่พันธุ์นี้ไว้เป็นต้นตอกันด้วยนะครับ ถ้าเราคิดจะปลูกอยากแนะนำให้ปลูกด้วยการตอนกิ่งจะดีกว่าเพราะได้ผลผลิตรวดเร็วทันใจกว่าวิธีอื่น เมื่อทำการตอนกิ่งเสร็จก็นำมาเพาะในถุงดำ ให้น้ำ แล้วนำไปวางในที่แดดรำไรซัก 6 เดือน รอให้รากงอก ลำต้นตั้งตรง ค่อยนำไปลงแปลงปลูก โดยทิ้งระยะของแต่ละต้นห่างกัน 6*6 เมตรครับ พื้นที่ที่ใช้ทำแปลงปลูก ควรมีแสงแดดส่องถึงทั้งวัน ดินร่วน น้ำไม่ขัง ช่วงแรกต้องรดน้ำสม่ำเสมอทุกเช้าเย็น จนกว่าจะโตได้ที่ค่อยเว้นช่วงรดน้ำได้ พอเริ่มให้ดอกให้ผล เราต้องเด็ดผลออกจากกิ่งทิ้ง เพื่อไม่ให้ผลแย่งธาตุอาหารกันมากไป จนผลผลิตที่ได้ไม่มีคุณภาพ และเมื่อปลิดผลทิ้งแล้วก็ใช้ถุงกระดาษหรือถุงพลาสติกห่อผลไว้กันแมลงมารบกวนด้วยนะครับ

สามารถสืบค้นผลงานวิจัยและองค์ความรู้การเกษตร ได้ที่  https://tarr.arda.or.th

พันธมิตร

Chulabook