สามารถสืบค้นผลงานวิจัยและองค์ความรู้การเกษตร ได้ที่ https://tarr.arda.or.th/ปี 2565

ต้นราตรี หอมรัญจวนยามดึก

ต้นราตรี มีชื่อสามัญภาษาอังกฤษว่า Night Cestrum และยังมีฉายานามภาษาอังกฤษว่า Lady of the night เพราะเป็นไม้ดอกที่ส่งกลิ่นหอมแสนรัญจวนใจในยามค่ำคืน ในเมืองไทยเรายังมีชื่อเรียกขานอีกชื่อว่า “ต้นหอมดึก” จากความหอมอย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว จัดว่าเป็นหนึ่งในดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมมาก หากสูดดมนานๆ อาจจะมีอาการแพ้กลิ่นจนวิงเวียนศีรษะได้ จึงมักจะมีคำแนะนำว่าให้ปลูกไม้ชนิดนี้ให้เว้นระยะห่างจากตัวบ้านหรือไม่ควรปลูกเหนือลม เพื่อป้องกันการได้รับที่ต่อเนื่องยาวนานเกินไปจนอาจเกิดการแพ้กลิ่นได้

แต่เดิมคนโบราณมักไม่นิยมปลูกต้นราตรีไว้ในอาณาบริเวณบ้าน อาจจะด้วยเพราะกลิ่นที่หอมเย็นและอาจจะเกิดอาการแพ้ได้ แต่ในปัจจุบันความเชื่อต่างๆ ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ทำให้ต้นราตรีกลายเป็นหนึ่งในพรรณไม้มงคลที่คนนำมาปลูกเพราะเป็นไม้ที่มีความเชื่อว่า บ้านใดปลูกไว้จะเสริมเสน่ห์แก่คนในบ้านเรือน โดยทั่วไปดอกราตรีจะมี 2 สายพันธุ์หลักๆที่เรารู้จักกันดี คือพันธุ์ดอกสีขาวและพันธุ์ดอกสีทอง แต่ปัจจุบันได้มีการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ให้มีดอกสีสันอื่นๆ เพิ่มมากขึ้น ขนาดดอกใหญ่ขึ้น บางพันธุ์จะมีกลิ่นหอมที่อ่อนกว่าพันธุ์ดั้งเดิม ทำให้ในท้องตลาดมีลักษณะและสายพันธุ์ให้เลือกตามความชอบของผู้บริโภค

ต้นราตรี เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สามารถแตกกิ่งก้านจำนวนมาก กิ่งอ่อนจะโน้มตัวงอลงมีสีของกิ่งเป็นสีเขียว แต่จะเปลี่ยนเป็นสีเทาขาวเมื่อกิ่งแก่และแข็งแรงขึ้น ใบไม้มีลักษณะรียาวคล้ายลูกรักบี้ ผิวใบเรียบเรียน แตกดอกบริเวณซอกใบและปลายกิ่งเป็นสีขาวครีมรวมกันเป็นช่อกระจุกเป็นพวงขนาดใหญ่ ดอกย่อยเป็นรูปคล้ายกรวยมีกลีบคล้ายแตรแยกออกเป็น 5 แฉก ดอกจะบานและส่งกลิ่นหอมในยามกลางคืน ผลจะออกเป็นพวงหลวมๆ ผลกลม ด้านในผลมีเนื้อผลที่อุ้มน้ำและมีเมล็ด ทั้งใบและผลมีพิษจึงไม่ควรนำมารับประทาน

การปลูกต้นราตรีสามารถปลูกด้วยเมล็ดได้ แต่มักนิยมปักชำกันมากกว่า เพื่อให้ได้ต้นกล้าที่สมบูรณ์และไม่เกิดการกลายพันธุ์เหมือนการเพาะเมล็ด และต้นกล้าที่ได้จากการปักชำนั้นจะมีความต้านทานต่อโรคได้ดีอีกด้วย สำหรับการคัดเลือกหาต้นแม่พันธุ์ดีที่จะนำมาปักชำ ควรคัดต้นที่แข็งแรง สมบูรณ์ มีกิ่งที่ตรง ไม่มีบาดแผลบนกิ่ง แล้วจึงนำกิ่งพันธุ์ดีมาตัดให้ยาวราว 20-25 เซนติเมตร ตัดใบทิ้งบางส่วนเพื่อไม่ให้พืชเกิดการคายน้ำมากไป ก่อนที่จะนำไปปักชำในถุงดำที่ใส่วัสดุปลูกไว้แล้ว ในช่วงแรกให้วางถุงดำไว้ในร่ม รอจนรากแข็งแรงและแตกใบจึงนำไปวางในที่มีแสงแดดส่องถึง เมื่อต้นกล้ามีลำต้นที่แข็งแรงและมีใบหนาแน่นเป็นพุ่มจึงค่อยย้ายลงปลูกในดิน เพียงแค่นี้ก็จะได้ดอกไม้กลิ่นหอมที่สมบูรณ์มาปลูกไว้เป็นมงคลในบ้าน

สามารถสืบค้นผลงานวิจัยและองค์ความรู้การเกษตร ได้ที่  https://tarr.arda.or.th

พันธมิตร

Chulabook