สามารถสืบค้นผลงานวิจัยและองค์ความรู้การเกษตร ได้ที่ https://tarr.arda.or.th/ปี 2565

มะม่วงหิมพานต์ อร่อย ราคาแพง

มะม่วงหิมพานต์ คือพืชเศรษฐกิจชนิดหนึ่ง ที่หลายๆประเทศนิยมปลูกกันมาก รวมถึงประเทศไทย เป็นพืชที่ให้ผลผลิตเป็น เม็ดมะม่วงหิมพานต์ อาหารว่างทานเล่นที่คนทั่วโลกนิยมบริโภคกันมาก เพราะมีรสชาติกรอบมันอร่อยยิ่งกว่าถั่วชนิดอื่นๆหลายชนิด ซึ่งใครได้ทานแล้วมักจะหยุดทานต่อได้ยาก และที่สำคัญคือมีราคาแพงกว่าถั่วชนิดอื่นๆอยู่หลายเท่าตัว เพราะมะม่วงหิมพานต์  ให้ผลผลิตเพียงแค่ปีละครั้ง โดยผลผลิตที่ได้คือ เมล็ดมะม่วงหุ้มเปลือก ซึ่งบ้านเรานิยมรับซื้อกันหน้าสวนประมาณ 25-35 บาทต่อกิโลกรัม แต่น้ำหนักของเมล็ดมะม่วงหุ้มเปลือกที่ซื้อกันหน้าสวนนี้ ยังต้องสูญเสียไปอีกมากเพราะต้องนำไปผ่านขั้นตอนกะเทาะเปลือกหุ้มออก ต้องแปรรูป ต้องคัดเกรด จนเหลือผลผลิตสุดท้ายคือ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ดิบสีขาวนวลพร้อมใช้งาน  ซึ่งจะเหลือน้ำหนักของเนื้อเม็ดมะม่วงแท้ๆอยู่แค่ 20-25% เท่านั้น ซึ่งทำให้ราคาตลาดทั่วไปของเม็ดมะม่วงหิมพานต์ดิบ จึงต้องซื้อขายกันเฉลี่ย 2-3 ร้อยบาทต่อกิโลกรัม

มะม่วงหิมพานต์ เริ่มทดลองปลูกในภาคใต้ของไทย มานานแล้วเกือบ120 ปี ซึ่งต่อมาก็นิยมปลูกกันไปทั่วภาคใต้ และได้ขยายการเพาะปลูกไปยังจังหวัดอื่นๆเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ทุกวันนี้บ้านเรามีแหล่งเพาะปลูกใหญ่ๆกระจายอยู่ทั่วประเทศ เช่น จังหวัดอุตรดิตถ์ ในภาคเหนือ จังหวัดศรีสะเกษ ในภาคอีสาน จังหวัดจันทบุรี ในภาคตะวันออก เป็นต้น เนื่องจากมะม่วงหิมพานต์ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ที่ปลูกง่ายตายยาก ไม่ต้องดูแลมากมาย ปลูกได้ในดินทุกชนิด ใช้น้ำน้อย ทนได้ทุกสภาพอากาศไม่ว่าจะแล้งหรือร้อน แต่หากต้องการได้ผลผลิตสูงและคุณภาพดี ก็ควรต้องบำรุงด้วยน้ำและปุ๋ย เหมือนกับการดูแลพืชทั่วๆไป และภาครัฐยังช่วยสนับสนุนด้วยการพัฒนาพันธุ์ที่เหมาะสม มีคุณสมบัติดี เช่น ให้ผลผลิตสูง คุณภาพเม็ดดี เนื้อแน่น เปลือกบาง ต้านทานโรคแมลงศัตรูพืชดี ทรงต้นเตี้ย เปอร์เซ็นต์กะเทาะเปลือกดี ไม่น้อยกว่า 25% เป็นต้น  เพื่อแนะนำให้เกษตรกรปลูก

โดยรวมแล้วมะม่วงหิมพานต์ ที่ทำการปลูกในเชิงการค้านั้น แม้จะให้ผลผลิตได้เพียงปีละครั้งก็ตาม แต่ก็ยังมีความน่าสนใจ เพราะในระหว่างปีที่รอผลผลิตนั้นเพื่อนๆ เกษตรกรแทบไม่ต้องดูแลรักษาอะไรเลย นอกจากให้น้ำเดือนละครั้งเมื่อดินแห้งมากๆ หรือใส่ปุ๋ยคอกให้บ้างปีละ 3 ครั้ง ซึ่งเวลาว่างที่มีสามารถไปทำงานอย่างอื่น หรือจะปลูกพืชอายุสั้นชนิดอื่น เช่นถั่วฝักยาว พริกขี้หนูสวน หรือกระเจี๊ยบแดง แซมร่วมในสวนก็ได้ เพราะมะม่วงหิมพานต์ มักนิยมปลูกในระยะห่างมากถึง 6×6 เมตร หรือ 40 ต้นต่อไร่ จึงมีพื้นที่เหลือมาก นอกจากนี้ผลผลิตเมล็ดหุ้มเปลือกของ มะม่วงหิมพานต์ สามารถตากแห้งเก็บได้นานหลายเดือน หากเพื่อนเกษตรกรรอไหว ก็อาจเลือกขายผลผลิตเมื่อใดก็ได้ ถ้าคิดว่าราคาเหมาะสม หรือจะกะเทาะเปลือกแปรรูปเอง เพื่อจำหน่ายเองโดยตรงซึ่งจะมีมูลค่าสูงขึ้นอีกมากเลยครับ

สามารถสืบค้นผลงานวิจัยและองค์ความรู้การเกษตร ได้ที่  https://tarr.arda.or.th

พันธมิตร

Chulabook