สามารถสืบค้นผลงานวิจัยและองค์ความรู้การเกษตร ได้ที่ https://tarr.arda.or.th/ปี 2565

มะละกอ ดิบหรือสุก ก็ปลูกขายได้ทุกตลาด

มะละกอ เป็นพืชผลที่พบได้ทั่วไปในบ้านเรือนส่วนใหญ่ ด้วยความที่ปลูกง่าย ได้ผลไว กินได้ทั้งผลดิบและผลสุก เมนูในดวงใจก็คงไม่พ้นส้มตำหรือนำไปแกงส้มต่าง ๆ ส่วนผลสุกนั้น มีทั้งความหวานอร่อย เคี้ยวง่าย ให้วิตามินหลากหลาย และไฟเบอร์ชั้นยอด ทำให้ตลาดรับซื้อมะละกอทั้งดิบและสุกเปิดแขนรอรับผลผลิตมากมาย ไม่ว่าจะรับซื้อผลดิบเพื่อนำไปทำส้มตำ และยังผลสุกเพื่อนำไปแปรรูป อบแห้ง แช่อิ่ม บรรจุกระป๋อง ผลิตเป็นน้ำผลไม้

มะละกอยอดนิยมสำหรับกินสุกก็ต้องยกให้มะละกอฮอลแลนด์ ส่วนพันธุ์ที่นำมาทำส้มตำต้องเน้นพันธุ์ที่มีเนื้อผลที่กรอบ อย่างพันธุ์ดำเนินและแขกดำ โดยมะละกอฮอลแลนด์นั้น มีลักษณะลำต้นใหญ่ ให้ผลผลิตดก ใช้เวลาเพียง 8 เดือนก็เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ วิธีสังเกตพันธุ์ฮอลแลนด์คือที่ปลายลูกจะกลมป้านคล้ายผลฟักเขียว ส่วนพันธุ์แขกดำนั้นจะให้ผลกลมยาว สีเขียวเข้ม มีลำต้นเตี้ย ติดผลดำและเร็ว เพียง 6-8 เดือนก็เก็บเกี่ยวได้แล้วครับ

ในบทความนี้เราก็จะมาคุยเรื่องของการปลูกมะละกอที่ขายได้ทังแบบกินสุกและกินดิบ พันธุ์แขกดำ แต่ถาไม่อยากดูแลมากก็เน้นการเก็บผลดิบไปขายเลยครับ มะละกอพันธุ์นี้มีลำต้นไม่สูง ซึ่งเหมาะสมกับการปลูกได้ทุกภาคในประเทศ ในพื้นที่ที่มีน้ำพอประมาณ  โดยพื้นที่ที่ทำการปลูกจะต้องไม่เคยปลูกมะละกอมาก่อนนะครับ เพื่อไม่ให้เกิดการปะปนสายพันธุ์กัน แล้วทำการเตรียมแปลงปลูก ด้วยการผสมปูนขาวในดินประมาณ 200กิโลกรัมต่อไร่ แล้วไถพรวน ตากดินไว้ 2 สัปดาห์ ก่อนที่จะยกร่องขึ้นอีก 1 ฟุต ให้ช่วยระบายน้ำ เมื่อต้นกล้าอายุครบ 6 สัปดาห์ ให้นำไปปลูกในแปลงที่ขุดหลุมเว้นระยะไว้แล้ว 3 ต้น ต่อหลุม เมื่อต้นมะละกอเริ่มโตให้คัดเหลือไว้เพียงต้นที่มีผลยาวเพียงต้นเดียว ส่วนอีก 2 ต้นให้ถอนทิ้ง

ช่วงที่ฝนทิ้งช่วงและฤดูแล้งเราต้องทำการรดน้ำสัปดาห์ละ 2 ครั้งพอชุ่มอย่าให้ถึงกับน้ำขัง เพราะจะทำให้เกิดเป็นโรครากเน่าได้ การกำจัดหญ้าศัตรูพืชบริเวณโคนต้นให้ใช้วิธีการถอนด้วยมือ เพื่อไม่ให้สิ่งมีคมกระทบต่อรากของต้นมะละกอ และควรหมั่นถอนหญ้าที่โคนต้นอย่างสม่ำเสมอ

การเก็บเกี่ยวผลผลิตเราจะเน้นแบบผลดิบกันเป็นส่วนใหญ่ เพราะตลาดสำหรับนำไปทำส้มตำนั้นกว้าง และการขนส่งไปซับซ้อนยุ่งยาก เมื่อปลูกมะละกอแล้วประมาณ 6 เดือน เราจะเริ่มเก็บเมื่อผลมีขนาดน้ำหนักประมาณ 1.5 กิโลกรัมแต่ไม่เกิน 2 กิโลกรัม เพราะเป็นขนาดที่ตลาดนิยมใช้ จะให้ดีเราควรติดต่อกับผู้รับซื้อรายใหญ่ที่ไว้วางใจได้ไว้ ให้เขามารับซื้อถึงสวน แค่นี้เราก็ไม่ต้องกังวลเรื่องตลาดกันแล้วครับ

สามารถสืบค้นผลงานวิจัยและองค์ความรู้การเกษตร ได้ที่  https://tarr.arda.or.th

พันธมิตร

Chulabook