สามารถสืบค้นผลงานวิจัยและองค์ความรู้การเกษตร ได้ที่ https://tarr.arda.or.th/ปี 2565

มะเขือเทศเชอรี่ ผลเล็ก รสโต

มะเขือเทศเชอรี่ มาจากคำภาษาอังกฤษที่เรียกขานกันว่า  Cherry Tomato มะเขือเทศลูกเล็กๆ ที่รสชาติอร่อยคำโต ที่มักจะนิยมรับประทานสดในเมนูสลัด เนื้อผลกรอบ เนื้อแน่น รสชาติหวาน ซึ่งต่างจากมะเขือเทศพันธุ์สีดาที่นำมาใช้ในการประกอบเมนูส้มตำที่จะมีรสชาติออกเปรี้ยวมากกว่าและชุ่มน้ำมากกว่ามะเขือเทศเชอรี่  โดยมะเขือเทศเชอรี่นั้นมีหลายสายพันธุ์ หนึ่งในสายพันธุ์ที่พวกเราคุ้นเคยกันดีก็คือมะเขือเทศราชินีและอีกสายพันธุ์ที่เป็นพันธุ์ที่รับความนิยมเชิงพาณิชย์คือ พันธุ์ CHT154 โดยแต่ละสายพันธุ์ก็จะมีรูปร่าง ลักษณะและรสชาติแตกต่างกันไป ยกตัวอย่างเช่น พันธุ์ไต้หวันที่จะมีลักษณะผลเป็นทรงรี เนื้อแน่นหวานกรอบ สีผลแดงสด ส่วนผลที่มีลักษณะกลมและเป็นที่นิยมในอันดับต้นๆ อีกพันธุ์คือพันธุ์ซันจากประเทศญี่ปุ่น กลมมนดั่งพระอาทิตย์ขนาดจิ๋ว มีค่าความหวานค่อนข้างสูงกว่าพันธุ์อื่นๆ และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ส่วนพันธุ์ไชน์นี่ควีนจะมีสีเหลือง รสชาติหวาน เนื้อผลกรอบและแน่น และอีกสายพันธุ์ที่เรามักไม่ค่อยจะพบบ่อยนักคือสายพันธุ์สีดำ ที่มีผลกลม เล็ก แต่สีเนื้อผลจะมีสีดำ เป็นต้น

มะเขือเทศเชอรี่ เป็นพืชที่มีถิ่นดั้งเดิมอยู่ในแถบอเมริกาใต้แนวเส้นศูนย์สูตร ได้แก่ ประเทศเปรูและชิลี เป็นต้น เป็น ลำต้นจะเป็นแบบเหลี่ยม มีการเติบโตแบบต้นไม้กึ่งเลื้อย กล่าวคือช่วงเริ่มเจริญจะเติบโตในแนวตั้ง เมื่อลำต้นมีความสูงราว 30-50 เซนติเมตรจะเริ่มเจริญขนานไปกับพื้น และมีความสูงราว 120-150 เซนติเมตร มีกิ่งก้านจำนวนมาก จะมีขนอ่อนเกาะตามลำต้นในช่วงแรกของการเจริญเติบโต ระบบรากแก้วมีการแผ่กระจายเร็ว ใบจะมีขอบที่หยักและมีขนบางๆบริเวณผิวแผ่นใบ โดยที่ขนอ่อนนั้นจะมีต่อมสำหรับผลิตสารระเหยเพื่อใช้ป้องกันตนเองจากแมลงศัตรูพืช ดอกเป็นดอกสมบูรณ์เพศ ยิ่งอุณหภูมิเย็นจะยิ่งเพิ่มปริมาณดอกได้มาก ดอกจะเริ่มบานหลังปลูกราว 5-6 สัปดาห์ แตกดอกเป็นช่อ แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยประมาณ 10-15 ดอก ให้ผลขนาดเล็ก มีทั้งแบบทรงรีและทรงกลม มีเมล็ดน้อยหรือไม่มีเมล็ด เนื้อแน่นกรอบ ผลจะเริ่มมีสีสันเข้มหลังจาก 2 เดือนที่ทำการหยอดเมล็ด

สภาพภูมิอากาศที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตมะเขือเทศเชอรี่ คือ 15-25 องศาเซลเซียส เพราะหากอุณหภูมิสูงหรือต่ำเกินไปจะส่งผลให้ไม่เกิดการผสม  และควรอยู่ในทำเลที่รับแสงแดดได้เต็มที่ตลอดทั้งวันเพื่อให้ได้ผลผลิตดี ดินที่ปลูกนอกจากจะเป็นดินที่ร่วนซุยและอุดมด้วยอินทรียวัตถุแล้ว ควรจะมีค่าความเป็นกรดด่างที่ pH6.0-6.5 และควรต้องหมั่นตรวจตราต้นมะเขือเทศเสมอเพื่อป้องกันโรคพืชและแมลงศัตรูพืช รอจนผลมะเขือให้สีเข้มจึงเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตได้

สามารถสืบค้นผลงานวิจัยและองค์ความรู้การเกษตร ได้ที่  https://tarr.arda.or.th

พันธมิตร

Chulabook