สามารถสืบค้นผลงานวิจัยและองค์ความรู้การเกษตร ได้ที่ https://tarr.arda.or.th/ปี 2565

มะเฟือง ปลูกง่ายได้ผลผลิตเร็ว

มะเฟือง เป็นผลไม้พื้นบ้านชนิดหนึ่ง ที่มีรูปร่างสะดุดตา เพราะผลมีลักษณะเฉพาะที่แยกออกเป็นครีบ 5 ครีบตามแนวยาว ผิวผลมันเงา มีเนื้อฉ่ำน้ำ ถ้านำผลมาตัดแนวขวาง จะมีหน้าตาคล้ายกับรูปดาวที่มี 5 แฉก ผลมะเฟืองสายพันธุ์ที่พบในบ้านเราส่วนใหญ่ จะมีรสชาติเปรี้ยวฝาด จึงไม่ค่อยเป็นที่นิยมทานกันมากมายนัก นอกจากนี้ยังมีคำเตือนเผยแพร่ในสื่อออนไลน์ว่า ผลมะเฟืองรสเปรี้ยว มีสารออกฤทธิ์เป็นกรดที่ชื่อ ออกซาเลต (Oxalate) ในปริมาณสูง หากทานแต่ละครั้งในปริมาณมากๆ จะทำให้ไตทำงานหนักเพื่อขับกรดตัวนี้ออกไป จึงมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคนิ่วในไตได้ และผู้ป่วยโรคไตต้องหลีกเลี่ยงการทานผลมะเฟืองอย่างเด็ดขาด

ส่วนคนทั่วไปนั้นสามารถทาน มะเฟือง ได้ไม่มีปัญหาอะไร เพราะมะเฟืองก็เหมือนกับผลไม้ต่างๆ ที่มีคุณค่าสารอาหาร มีใยอาหาร และวิตามินต่างๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เพียงแต่เราควรทานในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น ซึ่งในบ้านเราปกติก็ไม่ค่อยได้ทานกันมากอยู่แล้ว เพราะรสเปรี้ยวฝาดไม่ถูกปากคนส่วนใหญ่ที่ผ่านมามีมะเฟืองสายพันธุ์จากต่างประเทศ ซึ่งมีรสชาติหวาน เข้ามาเพาะปลูกในบ้านเราอยู่หลายสายพันธุ์และเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น อาทิเช่น มะเฟืองสายพันธุ์ไต้หวัน  มะเฟืองสายพันธุ์กวางตุ้ง ซึ่งสองพันธุ์นี้เริ่มเข้ามาก่อน และสายพันธุ์ที่เข้ามาเพาะปลูกในประเทศไทยหลังสุด คือ มะเฟืองสายพันธุ์มาเลเซีย

มะเฟือง คือผลไม่ส่งออกที่มีชื่อเสียงชนิดหนึ่งของมาเลเซีย โดยเฉพาะในตลาดยุโรป ดังนั้นมะเฟืองสายพันธุ์มาเลเซีย ที่มีชื่อว่า พันธุ์บี10 และ พันธุ์บี17 จึงเข้ามาสร้างความนิยมในการปลูกให้กับเกษตรกรได้พอสมควร เพราะมีรสชาติหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อยและไม่มีรสฝาด จนมีการปลูกกันในเชิงการค้ามากขึ้นโดยพันธุ์ บี 10 มีลักษณะผลอวบใหญ่ น้ำหนักเฉลี่ย 600-700 กรัมต่อผล ครีบบาง ร่องลึก เนื้อนิ่มและฉ่ำน้ำเมื่อสุกงอม ผิวผลจะเป็นสีเหลืองทอง พันธุ์นี้เหมาะสำหรับการแปรรูปเป็นน้ำมะเฟืองเข้มข้นบรรจุกระป๋อง ส่วนพันธุ์ บี17 จะมี ขนาดผลเล็กยาว น้ำหนักเฉลี่ย 400-500 กรัมต่อผล ครีบใหญ่ ร่องตื้น มีเนื้อแข็งกรอบ สีออกแดงส้ม ขอบครีบมีฟองอากาศเห็นได้ชัด รสหวานอมเปรี้ยวเข้มข้นกว่า บี 10 เหมาะสำหรับทานผลสด

ในปัจจุบัน เกษตรกรบ้านเราได้มีการนำเอา กิ่งพันธุ์มะเฟืองสายพันธุ์มาเลเซีย ทั้งสองสายพันธุ์มาขยายพันธุ์ ด้วยการตอนกิ่งบ้าง ต่อกิ่งเสียบยอดบ้าง โดยอาศัยต้นตอเดิมที่เป็นมะเฟืองพื้นเมืองของไทยและประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี สามารถผลิตเป็นกล้าพันธุ์ออกมาขายให้กับผู้ที่สนใจ ซึ่งข้อดีของกล้าพันธุ์เหล่านี้คือ หลังจากปลูกลงดิน หรือ ปลูกในกระถางใหญ่ เพียง 12-15 เดือน ก็สามารถ ออกดอกให้ผลเป็นลูกมะเฟืองที่มีรสชาติหวานอร่อยไม่ฝาดหรือเปรี้ยวจัด  นอกจากนี้ยังมีลำต้นสูงไม่เกิน 2 เมตร สามารถเก็บผลมะเฟืองได้ง่ายขึ้น และมักจะให้ผลดกได้ตลอดปี สามารถสร้างรายได้ได้ต่อเนื่อง

สามารถสืบค้นผลงานวิจัยและองค์ความรู้การเกษตร ได้ที่  https://tarr.arda.or.th

พันธมิตร

Chulabook