สามารถสืบค้นผลงานวิจัยและองค์ความรู้การเกษตร ได้ที่ https://tarr.arda.or.th/ปี 2565

ดาวกระจาย ดอกงาม สรรพคุณเพียบ

ดาวกระจาย คือ ชื่อไม้ดอกที่เราส่วนใหญ่จะคุ้นกับชื่อภาษาอังกฤษ “Cosmos” มากกว่า เพราะจะพบเจอในรีวิวท่องเที่ยวกล่าวถึงทุ่งดอกคอสมอส จนอาจจะลืมเลือนชื่อไทยกันไปบ้าง ดอกดาวกระจายเป็นดอกในวงศ์เดียวกันกับดอกบานชื่น ดอกเบญจมาศ และดอกบานชื่น เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก สูงเต็มที่ประมาณ 2 เมตร แต่ส่วนใหญ่ที่พบในประเทศไทยมีความสูงไม่มากนัก เป็นดอกที่ผลิเป็นฤดูกาล นิยมนำมาปลูกประดับสวน เพราะมีสีสันหลากหลาย และมีการปลูกเพื่อตัดดอกบ้างในบางพื้นที่ ดอกชนิดนี้มีถึง 29 สายพันธุ์ แหล่งกำเนิดอยู่ที่ประเทศเม็กซิโกและแถบประเทศในทวีปอเมริกาใต้ .

ลักษณะของต้นดอกดาวกระจายในไทยนั้น โดยเฉลี่ยจะสูงไม่เกิน 1 เมตร พบมาในเขตภายเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีอุณหภูมิเย็น โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว ลำต้นเป็นสีเขียวอมม่วง มีขนอ่อนปกคลุม ยกเว้นบริเวณโคนต้นที่มีสีม่วงเข้มและผิวเรียบเนียน มีกิ่งก้านแตกออกจากลำต้น รูปทรงต้นและกิ่งก้านเป็นทรงเหลี่ยม มีใบเดี่ยวคล้ายรูปดอกจิกแตกออกเป็นแฉกแยกย่อย 5 ใบ ขอบใบหยัก ทั้งด้านบนและด้านล่างของใบมีขนอ่อนปกคลุมกระจัดกระจายอยู่ การออกดอกจะผลิจากปลายยอดและซอกระหว่างก้านและโคนใบ มีสีสันแตกต่างกันไปแล้วแต่พันธุ์ ทั้ง ขาว เหลือง ม่วง ชมพู มีกลีบดอก 5 แฉกคล้ายรูปดาวกระจาย

ประเทศไทยเรานิยมปลูกดอกดาวกระจายเพื่อเป็นไม้ประดับทั้งบ้านและสวนแปลงใหญ่ และยังนำมาผลิตเป็นสีที่ใช้ผสมอาหาร สีสำหรับระบายภาพและย้อมผ้า และยังนำมาใช้ในการเกษตร เช่น นำมาเจือปนในอาหารให้กับสัตว์ปีกในฟาร์ม เพื่อให้ไข่แดงมีสีสวยยิ่งขึ้น หรือ ปลูกรอบแปลงพืชผักเพื่อล่อแมลงอีกด้วย แต่ยังไม่พบเมนูอาหารจากดอกดาวกระจายนะครับเว้นแต่ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย ที่นิยมนำใบสดของดาวกระจายมาเป็นส่วนผสมในการทำเมนูสลัด โดยขนานนามใบดาวกระจายว่าเป็น “เจ้าแห่งสลัด” เลยครับ

สำหรับสรรพคุณทางยาที่นำมาดอกดาวกระจายมาใช้ในการรักษาแผนโบราณนั้น ได้มีการนำดาวกระจายทั้งต้นที่มีรสขมมาใช้ในการฟอกเลือด แก้ร้อนใน รักษาอาการอักเสบติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ บรรเทาอาการต่อมทอนซินอักเสบ และยังแก้อาการท้องเสียและปวดมวนในช่องท้องได้ด้วย ซึ่งนับได้ว่าทั้งสวยทั้งสรรพคุณเยอะครับ

ส่วนเพื่อนๆ เกษตรกรที่อยากจะปลูกดาวกระจายนั้น เพียงแค่เตรียมแปลงเหมือนการปลูกพืชทั่วไป แล้วหาเมล็ดพันธุ์มาหว่านให้กระจายตัวจากกันราว 20 ซม. แล้วไถดินกลบ หรือหาจะหยอดเมล็ดก็หยอดหลุมละ 3 เมล็ด ระยะระหว่างหลุมห่างกัน 30 ซม. ปลูกในช่วงฤดูฝนจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำครับ ไม่ถึง 2 เดือนก็จะมีดอกไม้งามๆ ผลิบานให้ชื่นใจแล้วครับ

สามารถสืบค้นผลงานวิจัยและองค์ความรู้การเกษตร ได้ที่  https://tarr.arda.or.th

พันธมิตร

Chulabook