รู้หรือไม่ครับว่า กระชาย ถูกขนานนามให้เป็น โสมแห่งเมืองสยาม ด้วยสรรพคุณที่ได้ด้อยไปกว่าโสมเกาหลีแม้แต่น้อย กระชาย ภาษาอังกฤษ เรียกหลายชื่อทั้ง Chinese ginger, Chinese keys หรือ Fingerroot สันนิษฐานว่าตั้งชื่อตามรูปทรงและแหล่งที่มาของพืช โดยมีวงศ์พืชเดียวกันกับขิงและกระเจียว
กระชาย ถือว่าเป็นสมุนไพรที่เราพบเห็นกันได้บ่อย เพราะถูกนำมาปรุงอาหารหลายเมนู เช่นปลานึ่ง ผัดฉ่า ผัดพริก ผัดขี้เมา แกงป่า หรือ นำไปทานสดแนมกับน้ำพริกก็ยังมีครับ ดังนั้นจึงเป็นสมุนไพรที่คนไทยเราคุ้นชิน แต่ยังไม่ได้คิดจะทำเป็นอาชีพเพิ่มครับ
กระชายถือเป็น 1 ใน 5 สมุนไพรที่กระทรวงสาธารสุขได้ส่งเสริมเพื่อนำมาใช้ในตำรับยาแผนโบราณ จึงทำให้ได้รับความนิยม ทั้งทานสดและนำไปแปรรูป เป็น เครื่องดื่ม ยาน้ำ ยาเม็ด หรือแม้กระทั่งนำไปทำเป็นอาหารเสริมผสมกับกาแฟกัน ทำให้ตลาดต้องการซื้อหากระชายกันมากขึ้น
กระชายที่ปลูกในบ้านเรา มี 3 พันธุ์ใหญ่ๆ คือ กระชายดำ กระชายเหลือง และกระชายแดง โดยกระชายดำและกระชายเหลืองเป็นที่นิยมอย่างมาก เพราะมีสรรพคุณทางยาเด่นชัด ทั้งเป็นยาบำรุงร่างกาย แก้เวียนศีรษะ ขับลม บำรุงผู้ชาย บรรเทาโรคกามตายด้าน บำรุงหัวใจ และสารพัดเกินบรรยาย ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่ดีให้เพื่อนๆ เกษตรกร ผู้ประกอบอาชีพเกษตรกร ทั้งหลาย จะได้ผลิตสินค้าออกสู่ตาดเพิ่มเติม เพราะกระชายปลูกไม่ยากเลยครับ
การปลูกกระชายให้ขายดีนั้น เราต้องเน้นจุดเด่นเรื่องเกษตรอินทรีย์ เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่หันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ใครๆ ก็อยากจะเลี่ยงจากสารเคมีกัน และในระยะยาวเราสามารถขอเอกสารรับรองจากหน่วยงานภาครัฐ เพื่อสร้างเป็นจุดขายให้ผลผลิตของฟาร์มเราได้ด้วย หรือหากดราจะนำไปแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าก็ทำได้ง่าย เพราะไม่มีสารเคมีปนเปื้อน แม้ว่าวันนี้เราจะเริ่มปลูกเพื่อแซมพืชพันธุ์ประเภทอื่น แต่เราควรวางแผนเผื่ออนาคตกันไว้บ้างครับ วันหนึ่งเพื่อนๆ อาจเปลี่ยนใจมาทำเป็นพืชหลักก็ได้
การปลูกกระชายแซมไม้ยืนต้น พืชให้ผลต่างๆ จะเจริญดีมากเพราะร่มเงากำลังดี เพราะกระชายไม่ชอบรับแสงโดยตรง การปลูกใต้ร่มไม้จะทำให้ต้นได้รับแสงอ่อนๆ ทำให้ได้ผลผลิตงาม หัวกระชายอวบอ้วน ขายได้ราคา แต่มีข้อยกเว้นคือการปลูกใต้ต้นมะขามและมะยงชิดครับ ถ้าปลูกกระชายเมื่อไร ต้นกระชายฟีบตายก่อนที่หัวจะโต ให้เพื่อนๆ เลี่ยงเลยนะครับ แต่หากเพื่อนๆ จะปลูกเพื่อขายเป็นจริงเป็นจัง ก็ปลูก “พันธุ์รากกล้วย” กลางแจ้งไปเลยครับ เพราะเก็บเกี่ยวง่าย และได้ผลผลิตสูง ราคาดี
การดูแลก็เพียงให้น้ำวันละ 2 รอบเช้าเย็น และหมั่นถอนวัชพืชที่มากวน เพียงแค่ครึ่งปีก็รอเก็บเกี่ยวไปขายได้แล้วครับ
ถ้าเห็นว่าราคายังไม่ถูกใจ ก็เลี้ยงต่อไปได้อีก 2 เดือนสบายๆ แล้วค่อยเก็บไปขายกันครับ