พวงคราม คือชื่อเรียกของดอกช่อม่วง ภาษาอังกฤษเรียก Purple Wreath หรือ Queen’s Wreath เป็นพืชในวงศ์ผกากรอง เริ่มกำเนิดในหมู่เกาะแห่งหนึ่งของประเทศบราซิล บ้างก็ว่ากำเนิดในเม็กซิโก สามารถพบเห็นได้ในพื้นที่ที่มีอากาศอบอุ่นไปจนถึงร้อน เช่น คิวบา จาไมก้า เปอโตริโก้ และเอเชีย เป็นดอกไม้ที่การเรียงซ้อนของกลีบที่มีมิติและช่องห่างระหว่างกลีบที่งดงาม ในประเทศไทยในอดีตนิยมปลูกไม้เลื้อยเพื่อใช้ทำเป็นซุ้มประตูหรือทำค้างไว้ให้ไม้เลื้อยค่อยๆเลื้อยขึ้นจนหนาทึบ เพื่อใช้บังสาวตาไม่ให้บุคคลภายนอกมองเห็นความเคลื่อนไหวภายในบ้าน เพื่อสร้างความเป็นส่วนตัวให้แก่ผู้อยู่อาศัย เพราะแต่เดิมยังไม่มีการสร้างรั้วและไม่ได้ใช้ผ้าม่าน ซึ่งไม้เลื้อยที่นิยมนำมาปลูกมักเป็นไม้ดอกที่ผลิดอกได้งามตา สร้างความเพลิดเพลินสายตาแก่ผู้คนที่สัญจรผ่านบ้านได้ และดอกช่อม่วงหรือพวงครามก็จัดว่าเป็นไม้ที่ได้รับความนิยมนำมาปลูกเป็นซุ้มประตูด้วย
พวงคราม เป็นไม้เลื้อย ที่มีเถาวัลย์ขนาดใหญ่ เถาปละกิ่งก้านแข็ง เมื่อเถายังอ่อนจะมีขนอ่อนปกคลุมตลอดทั้งเถาแต่เมื่อเถามีอายุมากขึ้นจะมีผิวเรียบเนียน สีเทาขาวหรือสีน้ำตาลอ่อน สามารถเติบโตได้ถึง 5 เมตร โดยเลื้อยไปตามค้างหรือต้นไม้อื่น ออกใบเรียงตรงข้ามเป็นใบเดี่ยว ใบสีเขียว ผิวหนา ผิวใบมีสีเขียวเข้มกว่าท้องใบ โคนใบเล็กกว่าช่วงกลางของใบ ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ มีขนาดใบยาวประมาณ 8-11 เซนติเมตร และกว้างราว 4.5-7 เซนติเมตร จะออกดอกได้ดีในช่วงฤดูแล้ง ดอกจะแตกออกมาเป็นช่อสีม่วงคราม มองผิวเผินคล้ายดอกวิสทีเรีย มีกลีบดอก 5 กลีบ ออกเป็นกระจุก ช่อเป็นรวง ห้อยย้อยชี้ลงดิน ให้ดอกหนาแน่น บานสะพรั่งพร้อมกันทั้งต้น ติดดอกนานหลายวัน อย่างไรก็ตาม ยังพบดอกพวงครามที่แตกดอกเป็นสีขาว ซึ่งเป็นพันธุ์ Albiflora แต่ไม่พบมากนักในประเทศไทย
พวงคราม เป็นไม้ที่ชอบแสงแดดจ้า ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำดี สามารถขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด การตอน และการปักชำกิ่ง แต่หากปลูกโยเมล็ดต้องใช้เวลานานถึง 2-3ปีกว่าจะออกดอก และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือค้างไม้เพื่อให้เถาได้ไต่เกาะ หรือจะปลูกริมรั้วก็ได้ เมื่อเริ่มเพาะปลูกให้รดน้ำอย่างน้อยวันละครั้ง แต่เมื่อต้นแข็งแรงแล้วจะสามารถทนแล้งได้ อาจเว้นช่วงรดน้ำเพียงสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งตามสภาวะฝน หากจะเลี้ยงเป็นไม้ดัด อาจจะต้องเตรียมโครงเหล็กเป็นรูปร่างที่เราต้องการไว้ เพื่อให้ไม้ค่อยๆ เลื้อยจัดทรงตามที่เราออกแบบ และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือการตัดแต่งกิ่งใบอย่างต่อเนื่องและเติมปุ๋ยเพื่อบำรุงให้พืชออกดอกได้ดียิ่งขึ้น