สปริงเกอร์ที่เราใช้กันนั้นมีรูปแบบต่าง ๆ ที่แตกต่างกันไปตามระบบการให้น้ำที่เราได้ออกแบบไว้ วิธีการให้น้ำด้วยสปริงเกอร์ จะสูบน้ำจากแหล่งน้ำผ่านท่อเข้าไปที่แปลงผลผลิต และฉีดน้ำผ่านหัวฉีดให้แผ่กระจายเป็นฝอยสม่ำเสมอก่อนที่จะไหลลงดิน โดยรูปแบบต่าง ๆ ของสปริงเกอร์มีดังนี้
- สปริงเกอร์แบบน้ำหยด มีระบบการจ่ายน้ำเป็นหยด ใช้น้ำในปริมาณไม่มาก เหมาะกับพืชที่ไม่ต้องการน้ำมาก เช่น ผัก หรือ ไม้ประดับ หัวจ่ายประเภทนี้จะมีอายุการใช้งานสั้น ไม่เหมาะในการนำมาใช้ในภาคการเกษตร อีกทั้งยังมีความเสี่ยงที่หัวจ่ายจะเกิดปัญหาอุดตันอีกด้วย
- สปริงเกอร์แบบหัวพ่นหมอก ที่มีระบบการจ่ายน้ำให้ฟุ้งกระจายเป็นละอองขนาดเล็ก เหมาะกับการจ่ายน้ำในพื้นที่ปิด เพราะละอองของน้ำจะได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ หากอยู่ในที่พื้นที่เปิด ลมอาจทำให้ละอองฝอยเปลี่ยนทิศทาง จนให้น้ำได้ไม่ทั่วถึง จึงนิยมติดตั้งในโรงเรือน
- สปริงเกอร์แบบพ่นฝอย มีระบบการจ่ายน้ำเป็นเส้นและละอองขนาดเล็ก สามารถให้น้ำได้ไกลถึง 1.5 เมตร เหมาะกับการให้น้ำกับไม้ผลที่มีลำต้นขนาดปานกลาง
- สปริงเกอร์แบบ Rotor มีระบบหัวจ่ายน้ำหมุนรอบตัวตามองศาที่ตั้งไว้ สามารถจ่ายน้ำได้ไกล 6-20 เมตร เหมาะต่อการใช้งานในสนามหญ้าขนาดใหญ่ เช่น สนามกอล์ฟ เป็นต้น
- สปริงเกอร์แบบ มินิสปริงเกอร์ มีให้เลือกทั้งแบบกระจายน้ำน้อยและกระจายน้ำมาก สามารถเลือกใช้ให้เมาะกับพืช
สปริงเกอร์แบบต่าง ๆ ข้างต้นนั้น ก่อนที่เราจะตัดสินใจซื้อ เราควรต้องมีความเข้าใจความต้องการน้ำและความชื้นของต้นพืช คุณสมบัติการดูดซับน้ำของดิน ขนาดพื้นที่ เป็นต้น ข้อดีของการใช้สปริงเกอร์ในการให้น้ำพืช คือการควบคุมปริมาณน้ำได้อย่างแม่นยำและได้ผล ไม่กระทบกระเทือนต่อพืชผลผลิตที่เราปลูก ทำให้เราสามารถให้น้ำทีละน้อยและใช้ความถี่ที่สูงขึ้น ทำให้ดินสามารถซึมซับน้ำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะพืชที่มีระบบรากตื้นจะสามารถมีความชื้นได้อย่างสม่ำเสมอ ทำให้เราประหยัดแรงงานในการให้น้ำ แต่อย่างไรก็ตาม การใช้ระบบจ่ายน้ำผ่านสปริงเกอร์นั้น มีการใช้เงินลงทุนมาก และยังมีค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าบำรุงรักษาระบบ ค่าไฟฟ้า ค่าเชื้อเพลิงเครื่องปั๊มน้ำ รวมไปถึงต้นทุนในการกำจัดวัชพืชที่มักจะเจริญเติบโตได้ดีเพราะดินมีความชุ่มชื้นสูงขึ้น และหากอยู่ในพื้นที่ที่มีลมแรงจะทำให้การจ่ายน้ำไร้ทิศทาง ทำให้ต้นพืชไม่ได้รับทั่วถึงและสม่ำเสมอได้
สำหรับเพื่อนๆ เกษตรกรที่สนใจจะติดตั้งสปริงเกอร์แบบต่าง ๆ ควรวางระบบก่อนการนำพืชผลลงปลูกในแปลง และต้องวางแผนระบบการจ่ายน้ำอย่างครอบคลุม ตั้งแต่ ประเภทของหัวจ่ายน้ำ ท่อตั้งหัวจ่าย ท่อแขนง ท่อประธาน เครื่องสูบน้ำและแหล่งน้ำ เพื่อจะได้ระบบน้ำที่เหมาะสมต่อพืชและแปลงปลูก รวมทั้งงบประมาณที่เรากำหนดไว้ด้วยครับ