ผักกาดฮ่องเต้ หรือกวางตุ้งฮ่องเต้ มีชื่อสามัญภาษาอังกฤษว่า Pak Chai เป็นพืชผักที่อยู่ในตระกูลกระหล่ำที่เป็นพืชผักดั้งเดิมของทางประเทศญี่ปุ่นและจีน เข้ามาสู่ประเทศไทยตามศิลปะการปรุงอาหาร ที่นิยมนำผักชนิดนี้มาทำอาหารในเมนูต่างๆ ได้แก่ นำมาลวกใส่ในเกี๊ยวน้ำและบะหมี่ นำมาผัดน้ำมันหอยและผัดกับเนื้อสัตว์ รวมทั้งนำมาทำเป็นต้มจืดและนำมาลวกในสุกี้หรือชาบู เป็นต้น ใบผักกาดชนิดนี้อุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่ มีเนื้อสัมผัสที่กรอบ รสชาติหวานอร่อย
ผักกาดฮ่องเต้ หรือกวางตุ้งฮ่องเต้ จัดเป็นพืชผักประเภทพืชล้มลุก เป็นผักรับประทานใบ ใบใหญ่ ก้านใบแบน มีส่วนของโคนใบที่กว้างและหนา อวบน้ำ มีความกรอบ ส่วนของปลายใบกลมมน ปลายใบขยายกว้างและแผ่ออก ผิวใบหนา ปลูกได้ดีในสภาพภูมิอากาศที่เย็นสบาย อุณหภูมิที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของต้นพืชอยู่ระหว่าง 20-25 องศาเซลเซียส มีความทนทานต่อความร้อนได้ หากต้องการให้ได้ผลผลิตสูงควรปลูกในดินร่วนปนทรายที่อุดมไปด้วยอินทรียวัตถุ ระบายน้ำได้ดี มีค่า pH ระหว่าง 6.0-6.8 ได้รับแสงทั้งวันเพื่อช่วยในการสังเคราะห์แสงให้ดีขึ้น และควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอทุกเช้า-เย็น
การปลูกผักกาดฮ่องเต้ หรือกวางตุ้งฮ่องเต้ในยุคปัจจุบันที่เน้นเรื่องของผักอินทรีย์ ควรต้องทำการปลูกแบบประณีต โดยการเพาะต้นกล้าในถาดเพาะชำให้ต้นกล้ามีอายุประมาณ 2-3 สัปดาห์ ระหว่างนั้นให้ทำการปรับปรุงดินในแปลงปลูก เริ่มตั้งแต่การไถพลิกดินเดิมขึ้นมาตากแดดฆ่าเชื้อกำจัดวัชพืชประมาณ 2 สัปดาห์ โดยให้ทำการไถดินให้ลึกลงไปราว 20 เซนติเมตร กำจัดเศษหญ้าออกให้หมดและนำปูนขาวมาคลุกเคล้ากับดินให้เข้ากัน หลังจากนั้นนำปุ๋ยคอกเก่ามาผสมลงในดินและพรวนดินให้ร่วนซุย เตรียมแปลงขนาด 1-1.20 เมตร เว้นระยะห่างระหว่างแปลง 50 เซนติเมตร เว้นระยะปลูกระหว่างต้นประมาณ 20-25 เซนติเมตร
หลังจากปลูกลงแปลงแล้วภายใน 1 สัปดาห์ให้ทำการตรวจสอบการเจริญเติบโตของพืชผัก หากมีความเสียหายให้ทำการปลูกซ่อมทันที และควรกำจัดวัชพืชในแปลงปลูกทุก 2 สัปดาห์ และรดน้ำทุกวัน และควรหมั่นตรวจเช็คโรคพืชและแมลงศัตรูพืชต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ หากพบต้องรีบกำจัดและควบคุมทันที เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง
หลังจากปลูกและประมาณ 4-6 สัปดาห์ให้ทำการเก็บเกี่ยวผลผลิต ด้วยการตัดลำต้นเหนือดินและลอกใบที่เน่าเสียออก และทำให้ผักแห้งก่อนที่จะทำการลำเลียงไปยังตลาด การเก็บเกี่ยวผักนั้นควรต้องทำการเก็บเกี่ยวก่อนที่ผักจะแก่เกินไปเพราะจะทำให้คุณภาพของผักด้อยลงและทำให้เสียราคาvudfh;p