สามารถสืบค้นผลงานวิจัยและองค์ความรู้การเกษตร ได้ที่ https://tarr.arda.or.th/ปี 2565

แมคคาเดเมีย ราชาแห่งธัญพืช

แมคคาเดเมีย เป็นราชาแห่งธัญพืชที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก มีไขมันไม่อิ่มตัว วิตามินและแร่ธาตุสูง โดยทั่วไปเราจะบริโภคแมคคาเดเมียที่ผ่านการอบและกะเทาะเปลือกออกเพื่อทานเล่น หรือนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตขนมอบต่างๆ หรือไอศกรีม และนำมาปรุงเป็นสลัดได้อีกด้วย หากทานในปริมาณที่เหมาะสมและต่อเนื่อง จะช่วยลดความเสี่ยงจากการโรคที่มี คอเลสเตอรอล LDL เป็นต้นเหตุ เช่น โรคหลอดเลือดตีบตัน เป็นต้น

แมคคาเดเมีย เป็นธัญพืชที่ไม่มีการกีดกันทางการค้าจาก WTO ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสอันดีของเพื่อนๆ เกษตรกรที่คิดจะปลูกต้นแมคคาเดเมีย เพราะผลิตได้เท่าไร ก็สามารถส่งขายได้หมด และยังมีการตั้งราคาที่ธรรมตามราคาตลาดโลก ที่ถูกสร้างไว้เป็นราคามาตรฐาน ไม่มีการแกว่งตัวไปมาเหมือนพืชตัวอื่นๆ ที่อาจจะเรื่องของสินค้าล้นตลาด ทำให้ราคาตกต่ำได้ และยังเป็นธัญพืชที่ได้รับความนิยมในการรับประทานมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนเริ่มหันมาใส่ใจเรื่องอาหารสุขภาพกันมากขึ้น ทำให้มีความต้องการในตลาดสูงขึ้น นอกจากนี้กะลาหรือเปลือกของแมคคาเดเมียก็ยังสามารถนำมาสกัดเอาน้ำมันมาใช้ประโยชน์และขายได้ราคาอีกด้วย

การปลูกแมคคาเดเมีย สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการเสียบยอด ทาบกิ่ง ติดตา แล้วแต่ความชอบของแต่ละท่านเลยครับ แต่เมืองไทยเราไม่นิยมการติดตาเพราะเปอร์เซ็นต์ติดต่ำ และต้องอาศัยความชำนาญสูง แต่ทุกวิธีก็ต้องมีต้นตอพันธุ์ดีเป็นต้นพันธุ์  โดยนิยมใช้เป็นต้นตอชนิดผิวขรุขระ ที่ให้ผลผลิตได้เร็วกว่าต้นตอผิวเรียบถึง 2 ปีเลยครับ เพราะรากของต้นตอชนิดผิวขรุขระจะดูดซึมธาตุในดินได้ดี และต้นพันธุ์นี้ยังทนต่อโรครากเน่าและแคงเกอร์ โดยในบ้านเรานิยมใช้พันธุ์ H2 ที่มีรากที่ดูดซึมธาตุได้ดีเป็นต้นตอในการขยายพันธุ์แมคคาเดเมีย

การปลูกต้องเว้นระยะ 8*10 เมตร ขนาดหลุมแต่ละต้นควรมีความกว้าง*ยาว*ลึก 1 เมตรเท่ากัน แล้วเทฟอสเฟสก้นหลุม 1.5 กิโลกรัม และนำดินที่คลุกปุ๋ยคอกแล้วเทกลบเมื่อปลูกเสร็จ และรดน้ำให้ชุ่มชื้น การรดน้ำให้รดเพียง 1 ครั้งต่อสัปดาห์เป็นอย่างต่ำ แต่ในช่วงติดผลแล้วต้องให้น้ำอย่างต่อเนื่อง ช่วงครึ่งปีหลังจากปลูกต้องเริ่มตัดแต่งกิ่งให้เหลือเพียงกิ่งกระโดง 1 กิ่ง หากความสูงกิ่งเกิน 1 เมตรและยังไม่แตกกิ่งเพิ่มให้ตัดตรงยอดเพื่อให้แตกกิ่งเพิ่ม

เมื่อปลูกได้ระยะเวลา 4 ปี แมคคาเดเมียก็จะเริ่มให้ผลผลิตเล็กน้อยประมาณไม่เกิน 3 กิโลกรัม และเมื่ออายุ 10 ปีจะให้ผลผลิตต้นละไม่เกิน 20 กิโลกรัม เมื่ออายุ 20 ปีได้ผลผลิตต้นละไม่เกิน 60 กิโลกรัม และสามารถให้ผลผลิตได้นานมากกว่า 50 ปีเลยครับ ถือว่าปลูกทีเดียวเก็บเกี่ยวผลผลิตกันได้ถึงลูกหลานเลยครับ

สามารถสืบค้นผลงานวิจัยและองค์ความรู้การเกษตร ได้ที่  https://tarr.arda.or.th

พันธมิตร

Chulabook