สามารถสืบค้นผลงานวิจัยและองค์ความรู้การเกษตร ได้ที่ https://tarr.arda.or.th/ปี 2565

คื่นช่าย ผักใบเขียว ราคางาม

คื่นช่าย เป็นผักใบเขียวที่คนไทยเรารู้จักกันได้ มีสายพันธุ์มาจากประเทศจีน โดยในประเทศไทยนั้นมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปหลายชื่อ เช่น ผักข้าวปีน ผักปืน ปักปิ๋ม หรือ ผักตั๋งโอ๋ ซึ่งเป็นที่นิยมนำมาใช้ในการประกอบอาหารทั้งรับประทานสดปละปรุงสุก เพราะนอกจากสีสรรของขึ้นฉ่ายจะสามารถตกแต่งอาหารให้ดูน่ารับประทานมากขึ้นได้แล้ว ยังมีกลิ่นหอมฉุนที่สามารถใช้ในการดับกลิ่นคาวของอาหารได้ดีอีกด้วย โดยเรานิยมนำมาทำอาหารประเภทต้มและผัดโดยเฉพาะกับเนื้อปลาเพื่อกลบกลิ่นคาวของปลาได้ และยังใส่ในต้มซุปต่างๆได้อีกด้วยครับ

นอกจากนี้ผักคื่นช่ายยังมีประโยชน์ทางโภชนาการอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการช่วยในเรื่องของการลดความดันโลหิตสูง โดยการนำใบสดไปคั้นเอาน้ำเข้มข้นมาดื่มก่อนรับประทานอาหาร 2 ช้อนโต๊ะ หรือ จะรับประทานในระหว่างมื้ออาหารก็ได้ ทั้งยังช่วยในเรื่องของภูมิต้านทานเพราะในผักคื่นฉ่ายนั้นประกอบด้วยวิตามินซี วิตามินเอและบี นอกจากนี้ยังสามารถช่วยในเรื่องของการบำรุงผิวได้อีกด้วยครับ ในปัจจุบันเพื่อนๆ เกษตรกรยังคงนิยมปลูกคื่นช่ายแบบจริงจังกันไม่มากนัก มีเพียงบางกลุ่มที่สามารถปลูกคื่นฉ่ายปลอดสารพิษทำรายได้ถึงเดือนล่ะหลายหมื่นบาท ถือว่าเป็นพืชที่สร้างรายได้ไม่น้อยเลยใช่ไหมล่ะครับ เพราะขายได้ถึงกิโลกรัมละ 160-180 บาท นับได้ว่าหากเก็บเกี่ยวผลผลิตวันล่ะหลายกิโลกรัมก็ทำเงินไม่น้อยเลยก็ว่าได้ครับ

ผักคื่นช่ายนั้นมีลักษณะลำต้นยาวประมาณ 30-40 เซนติเมตร ใบหยักลึกคล้ายขนนก ขึ้นสลับกันรอบๆ ลำต้น ใบมีสีเขียวอ่อนปนเหลือง โดยผักคื่นช่ายจะมี 2 ประเภท คือคื่นช่ายจีนและคื่นช่ายฝรั่งหากเป็นคื่นช่ายจีน ลำต้นจะเรียวเล็กและใบจะเล็กกว่าคื่นช่ายฝรั่ง ส่วนคื่นช่ายฝรั่งจะมีก้านและลำต้นที่ใหญ่กว่ารวมถึงใบที่ใหญ่กว่าด้วย แต่คนไทยจะนิยมบริโภคผักคื่นช่ายจีนมากกว่าครับ

วิธีการปลูกคื่นช่ายส่วนใหญ่จะนิยมปลูกโดยการหว่านเมล็ดลงดินหรือปลูกเป็นแถวโดยเริ่มจากการเตรียมดินให้โปร่ง กำจัดวัชพืชและเชื้อราแล้วไถดินตากแดดฆ่าเชื้อให้เรียบร้อย แล้วจึงผสมปุ๋ยคอกคลุกเคล้าลงในดินไว้ จากนั้นนำเมล็ดคื่นช่ายพันธุ์ดีที่คัดสรรไว้แล้วมาหว่านหรือปลูกเว้นระยะแถวและระยะต้นให้เหมาะสมเพื่อง่ายต่อการดูแลและเก็บผลผลิต โดยหากดินมีความเป็นกรดมากเกินไปก็สามารถใส่ปูนขาวเพื่อลดกรดนั้นได้  คื่นช่ายเป็นผักที่ชื่นชอบอากาศเย็น จะดีมากหากปลูกไว้ในโรงปลูกหรือคุมสแลนพรางแสงและรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้ไม่เกิน 2 เดือนก็รอเก็บเกี่ยวผลผลิตเพื่อสร้างรายได้กันได้แล้วครับ

สามารถสืบค้นผลงานวิจัยและองค์ความรู้การเกษตร ได้ที่  https://tarr.arda.or.th

พันธมิตร

Chulabook