สามารถสืบค้นผลงานวิจัยและองค์ความรู้การเกษตร ได้ที่ https://tarr.arda.or.th/ปี 2565

กระเจี๊ยบ พืชทนแล้ง ปลูกง่าย เสริมรายได้ดี

กระเจี๊ยบ ที่คนไทยเราคุ้นเคยกันดี โดยมากมักจะนึกถึงน้ำกระเจี๊ยบ น้ำดื่มสมุนไพรสีแดงเข้ม มีรสเปรี้ยวอมหวานชุ่มชื่นคอ เป็นที่ชื่นชอบกันทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ซึ่งน้ำสมุนไพรกระเจี๊ยบนี้ได้มาจากการนำเอากลีบเลี้ยงของดอกกระเจี๊ยบแดงที่ตากแห้งแล้ว มาต้มในน้ำเดือดและเติมรสหวานเพื่อช่วยคลายรสเปรี้ยว เนื่องจากกลีบเลี้ยงดอกกระเจี๊ยบแดงนี้ มีกรดอินทรีย์อยู่หลายชนิดและมีวิตามินซีสูงมาก จึงทำให้มีรสเปรี้ยวนอกจากนี้ ยังมีสารแอนโทไซยานิน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูงอีกด้วย ซึ่งสารในกลีบเลี้ยงดอกกระเจี๊ยบแดงเหล่านี้ ล้วนมีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ช่วยเสริมการทำงานของเม็ดเลือดแดง ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ชะลอการเกิดไขมันอุดตันหลอดเลือด ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ ชะลอความเสื่อมของเซลล์ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายให้ดีขึ้น และช่วยลดโอกาสของการเกิดโรคมะเร็ง เป็นต้น

นอกจากกระเจี๊ยบแดงแล้ว ยังมีกระเจี๊ยบเขียว อีกชนิดหนึ่ง ที่ปลูกเพื่อบริโภคเป็นผัก มีผลเป็นฝักอ่อน นิยมนำมาลวกจิ้มน้ำพริก หรือใช้ปรุงเป็นอาหารเมนูต่างๆ เช่นแกงส้ม แกงเลียง และ สลัด เป็นต้น แต่ฝักอ่อนกระเจี๊ยบเขียวมีอายุเก็บรักษาสั้น มีตลาดเล็ก และมีมูลค่าผลผลิตน้อยกว่า กระเจี๊ยบแดง ที่นิยมปลูกเพื่อเก็บกลีบเลี้ยงดอกมาตากแห้ง ขายเป็นสมุนไพร ซึ่งเก็บรักษาได้นานนับปี สามารถนำไปแปรรูปได้อีกมากมาย เช่น น้ำสมุนไพร ชา ไวน์ แยมกระเจี๊ยบ หรือ นำไปสกัดสารใช้ในอุตสาหกรรมยา เครื่องสำอาง อาหารและเครื่องดื่มซึ่งกระเจี๊ยบทั้ง 2 ชนิดนี้ เป็นพืชที่ปลูกง่าย โตไว ทนอากาศร้อน ใช้เวลาและทรัพยากรในการเพาะปลูกพอกัน แต่การปลูกกระเจี๊ยบแดงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะผลผลิตเก็บรักษาได้นาน และ มีตลาดรองรับมากกว่า

กระเจี๊ยบ เป็นพืชล้มลุก อายุปีเดียว  สูง 1-2.5 เมตร ลำต้นทรงพุ่ม ทนแล้งได้ดี ปลูกได้ในดินทุกชนิดที่ไม่มีน้ำท่วมขัง นิยมปลูกด้วยเมล็ด ปลูกได้ตลอดปีแต่โดยมากนิยมเริ่มปลูกต้นฤดูฝน เดือนกรกฎาคม-สิงหาคม เพื่ออาศัยน้ำฝน และเมื่ออายุ 2 เดือนกระเจี๊ยบจะเริ่มให้ดอกอ่อน เมื่อครบ 4 เดือนกลีบดอกอ่อนจะร่วงจนหมด เหลือแต่ กลีบเลี้ยงสีม่วงแดงแข็งอวบน้ำห่อหุ้มผลเอาไว้ โดยให้เลือกตัดเฉพาะฝักกลีบเลี้ยงดอกที่โตเต็มที่แล้วนำมาตากแห้งเก็บไว้ โดยกระเจี๊ยบมีอายุต้น 1 ปี ปลูกครั้งเดียว เก็บเกี่ยวได้ 3 รอบ คือทุกๆ 4 เดือน

เพื่อนๆ เกษตรกร อาจปลูกกระเจี๊ยบเป็นรายได้เสริม พร้อมไปกับการทำนาปีก็ได้  ซึ่งในช่วงหลังนา หรือ ช่วงหน้าแล้งจะได้มีกระเจี๊ยบให้เก็บเกี่ยวเป็นรายได้เพิ่มเติมขึ้นมา อาจจะเลือกกระเจี๊ยบแดงสายพันธุ์ม่วงจัมโบ้ ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งมีกลีบเลี้ยงใหญ่ ผลผลิตต่อไร่สูงเฉลี่ย 1.5-2 ตันต่อไร่ โดยปลูกที่ระยะการปลูก 50×50 เซนติเมตร และไม่สิ้นเปลืองการใช้น้ำมากนัก  โดยใน 2 เดือนแรกหลังการเก็บเกี่ยว ควรต้องมีการรดน้ำสม่ำเสมอ 3-4 วันต่อครั้ง เมื่อกระเจี๊ยบมีดอกอ่อนแล้ว ก็ลดการให้น้ำเหลือสัปดาห์ละครั้งก็เพียงพอครับ

สามารถสืบค้นผลงานวิจัยและองค์ความรู้การเกษตร ได้ที่  https://tarr.arda.or.th

พันธมิตร

Chulabook