สามารถสืบค้นผลงานวิจัยและองค์ความรู้การเกษตร ได้ที่ https://tarr.arda.or.th/ปี 2565

แก้วกาญจนา ไม้ประดับใบสวย

แก้วกาญจนาหรือต้นอโกลมีนา เป็นไม้ประดับที่มีใบหลากหลายสีสัน และใบหลากหลายรูปทรง กลายเป็นเสน่ห์ของต้นพืชที่ทำให้นักสะสมไม้ใบต่างเสาะแสวงมาครอบครอง ทั้งนำมาใช้เป็นไม้กระถางประดับบ้านเรือน หรือจะปลูกเป็นแปลง และยังสามารถตัดใบขายได้อีกด้วยครับ ทำให้มีกระแสความต้องการพืชชนิดนี้สูขึ้นเรื่อยๆทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ จนราคาบางต้น บางสายพันธุ์ทะยานสูงลิ่ว ยิ่งเป็นสายพันธุ์ที่เลี้ยงยาก โตช้า สวยงามจัด ด้วยแล้ว นักเลงต้นไม้ยอมจ่ายกันไม่อั้น ตลาดส่งออกที่สำคัญของไม้ประดับชนิดนี้คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย เกาหลี ฮ่องกง ญี่ปุ่น อเมริกาและไต้หวัน โดยแหล่งผลิตที่สำคัญในบ้านเราจะกระจุกตัวอยู่ในแถบภาคกลาง

ด้วยความที่แก้วกาญจนานั้นมีมากมายหลายพันธุ์ ในบทความนี้เราจะมาเล่าถึงเฉพาะสายพันธุ์ที่ได้รับการรับรองพันธุ์ ตาม พรบ.พันธุ์พืช พ.ศ. 2518 จำนวน 2 พันธุ์ พันธุ์แรกคือพันธุ์ทองอำพัน ที่เป็นพันธุ์ Hybrid จากพันธุ์แม่อย่าง ขันหมากชาววัง ที่มีใบสีแดงสดสวย นำไปผสมกับพันธุ์พ่อ อย่างพันธุ์จัมโบ้ ที่มีใบกว้าง เส้นใบเป็นลายก้างปลาคมสวย ทำให้ลูกผสมที่ได้ มีใบกว้างถึง 15 ซม.และยาวถึง 24 ซม. พื้นใบด้านบนมีสีเขียวแกมเหลือง มันวาว ตัดด้วยสีเขียวเข้มเป็นแถบๆ ขอบใบตัดขอบเป็นสีชมพู เส้นใบสีแดงเข้ม ส่วนพันธุ์รัตนชาติที่เป็นลูกผสมระหว่างพันธุ์นงพรและพันธุ์จัมโบ้ จะมีใบรี เรียวแหลม ก้านใบไม่ยาว ใบสีเขียวเข้ม ขอบใบตัดด้วยสีเขียวอ่อน ลายเส้นใบนูนแบบก้างปลาสีขาว

ส่วนแก้วกาญจนาพันธุ์ที่ได้รับความนิยมในการปลูกเชิงพาณิชย์นั้นมีด้วยกัน 4 พันธุ์ คือ พันธุ์เพชรน้ำหนึ่ง พันธุ์หนึ่งมณีล้อมเพชร พันธุ์สยามออโรร่า และเฮงเฮงเฮง นั้น เราสามารถขยายพันธุ์ได้ด้วยการปักชำยอด โดยต้องทำการคัดเลือกต้นพันธุ์ที่สมบูรณ์ มีสีสันงดงาม มีใบมากกว่า 5 ใบ แล้วทำการตัดยอดไว้ใบไว้เพียง 3-5 ใบ แล้วจึงนำปูนแดงแห้งมาทาที่รอยแผล ก่อนที่จะนำยอดไปชำในกระถางขนาดเล็ก ที่เราใส่กาบมะพร้าวสับและใบก้ามปูรองก้นกระถางไว้แล้ว โดยปัก 1 ยอด ต่อ 1 กระถางเท่านั้น แล้วนำกระถางเพาะชำใส่ในถุงพลาสติกมัดปากถุงให้แน่น แล้วนำไปวางใต้ร่มไม้ที่มีแสงผ่านไม่เกิน70% ใช้เวลาประมาณ 45 วัน จึงนำออกมาเปลี่ยนวัสดุปลูกและเปลี่ยนใส่ในกระถางที่ใหญ่ขึ้นเพื่อดูแลต่อไป จนได้ต้นแก้วกาญจนาที่สวยงามพร้อมนำไปขายให้แก่นักสะสมได้ ยิ่งมีสีสันสดใสตามสายพันธุ์ งดงามโดดเด่น ราคาซื้อหากันก็ยิ่งสูงขึ้น โดยราคาในท้องตลาดนั้นมีตั้งแต่หลักสิบไปจนถึงหลักพันหลักหมื่นกันเลยครับ

สามารถสืบค้นผลงานวิจัยและองค์ความรู้การเกษตร ได้ที่  https://tarr.arda.or.th

พันธมิตร

Chulabook