ปัจจุบันเพื่อน ๆ เกษตรกร มักจะได้ยินข่าวสารกันมากว่า ต้นอะโวคาโด เป็นพืชเศรษฐกิจที่น่าเพาะปลูก เพราะคนนิยมกินและมีราคาดี แล้วยังได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่า อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่ดีต่อสุขภาพมีรสชาติอร่อย หอมมัน มีวิตามิน สารอาหาร และแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมายหลายชนิด มีสารต้านอนุมูลอิสระมาก รวมไปถึงมีกรดไขมันชนิดดีที่ร่างกายต้องการสูง นอกจากนี้ ผลอะโวคาโด ยังแปรรูปเป็น อาหาร เครื่องดื่ม เครื่องบำรุงผิวพรรณ หรือเป็นส่วนผสมของ เครื่องสำอาง อีกหลายชนิด
ที่จริงแล้วการปลูกต้นอะโวคาโด ไม่ใช่เรื่องใหม่ในบ้านเรา เพราะปลูกกันมาหลายสิบปีแล้วในโครงการหลวงฯ ที่ต่างๆ แต่เพราะเป็นพืชเมืองหนาว จึงส่งเสริมให้ปลูกในเขตพื้นที่สูงทางภาคเหนือเท่านั้น ซึ่งผลผลิตส่วนใหญ่ถูกส่งออก เพราะคนไทยสมัยก่อนไม่นิยมรับประทานกันเท่าไร เพราะราคาแพง และรสชาติไม่หวานจึงไม่ถูกปากคนไทย แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเกิดกระแสการดูแลสุขภาพ และใส่ใจอาหารการกิน ทำให้อะโวคาโด กลับได้รับความนิยมขึ้นมา
ผลจากกระแสความนิยมอะโวคาโด ทำให้ช่วงเวลาที่ผ่านมามีเกษตรกร มีนักวิชาการ ได้มุ่งพัฒนาสายพันธุ์ วิธีขยายพันธุ์ เพื่อทำให้ ต้นอะโวคาโด สามารถปลูกได้ในพื้นที่หลากหลาย โดยไม่ต้องห่วงเรื่องอากาศหนาว ร้อน และมีการเจริญเติบโต ให้ผลผลิตได้รวดเร็วทันใจมากขึ้น ในปัจจุบัน ต้นอะโวคาโด ที่พบได้ในบ้านเรามีมากกว่า 10 สายพันธุ์ โดยสายพันธุ์ที่คนนิยม คือ สายพันธุ์แฮสส์ บัคคาเนีย และ ปีเตอร์สัน ต้นอะโวคาโด เป็นไม้ยืนต้นที่ต้องปลูกบนพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล ไม่ต่ำกว่า 600 เมตรเท่านั้น จึงจะแข็งแรงเติบโตได้ดี มีผลผลิตสมบูรณ์ ชอบอากาศเย็น ดินระบายน้ำได้ดี ไม่มีน้ำท่วมขัง ลำต้นสูงได้ถึง 18 เมตร ใบสีเขียวสด มีดอกขนาดเล็ก สีเขียวอมเหลือง ออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ส่วนลักษณะของผล และรสชาติความมัน อร่อย จะแตกต่างไปตามสายพันธุ์
สำหรับเพื่อนๆ เกษตรกรที่สนใจอยากปลูกต้นอะโวคาโดอย่างจริงจัง เพราะเห็นว่า ราคาดี เรื่องนี้ควรเข้าใจก่อนว่าพันธุ์อะโวคาโด ที่คนส่วนใหญ่นิยม และราคาดีจริงๆ มีแต่ พันธุ์แฮสส์ สายพันธุ์เดียวเท่านั้น ซึ่งพันธุ์แฮสส์ จะต้องปลูกบนพื้นที่สูงเพียงอย่างเดียว และถ้าอากาศไม่เย็นต่อเนื่อง ฝนแล้ง หรือ แหล่งน้ำไม่เพียงพอ ผลผลิตก็จะน้อย โดยเฉลี่ยพันธุ์แฮสส์ มีราคา 80-100 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนสายพันธุ์ที่รองลงมาคือ บัคคาเนีย และปีเตอร์สัน ซึ่งทั้ง 2 พันธุ์ ปลูกได้ง่ายและแข็งแรงกว่า แล้วยังสามารถปลูกในที่ไม่สูงมากนักได้ คือ ความสูงจากระดับน้ำทะเลไม่น้อยกว่า 250 เมตร แต่ผลผลิตของ 2 พันธุ์นี้จะอร่อยน้อยกว่าพันธุ์แฮสส์ และ มีราคาต่ำ โดยเฉลี่ย 20-30 บาทต่อกิโลกรัม เพราะมีผลผลิตออกเยอะ ซึ่งการเลือกสายพันธุ์ที่จะปลูก คงต้องขึ้นอยู่กับพื้นที่ปลูก ว่าอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลแค่ไหน มีฝนชุก หรือมีแหล่งน้ำเพียงพอหรือไม่ หากคิดจะปลูกจะต้องเข้าใจให้ลึกซึ้งกันด้วยนะครับ