สามารถสืบค้นผลงานวิจัยและองค์ความรู้การเกษตร ได้ที่ https://tarr.arda.or.th/ปี 2565

การชลประทาน องค์ประกอบสำคัญของการเกษตรสมัยใหม่

การชลประทานเป็นกระบวนการของการนำน้ำไปใช้ในดินเพื่อวัตถุประสงค์ในการผลิตทางการเกษตร เป็นองค์ประกอบสำคัญของการเกษตรสมัยใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย ซึ่งการเกษตรเป็นภาคส่วนสำคัญของเศรษฐกิจ ระบบชลประทานในประเทศไทยมีวิวัฒนาการมาหลายปี โดยมีการนำเทคโนโลยีและแนวปฏิบัติใหม่ๆ มาใช้เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและความยั่งยืน การชลประทานช่วยให้เกษตรกรที่ปลูกพืชในพื้นที่ที่มีปริมาณน้ำฝนไม่เพียงพอหรือในสภาพแห้งแล้งให้สามารถทำการเพาะปลูกและได้ผลผลิตที่เหมาะสมและยังช่วยปรับปรุงความอุดมสมบูรณ์ของดินอีกด้วย

ตัวอย่างของระบบชลประทานหรือการให้น้ำในการทำการเกษตรในประเทศไทย

  • การชลประทานผิวดิน: การชลประทานผิวดินเป็นรูปแบบการชลประทานทั่วไปที่ใช้ในภาคเกษตรกรรมของประเทศไทย เป็นวิธีการชลประทานที่เก่าแก่และดั้งเดิมที่สุด ซึ่งน้ำจะถูกนำไปใช้กับพื้นผิวของแปลงปลูกและปล่อยให้ซึมลงไปในดิน ในระบบชลประทานนี้ น้ำจะถูกส่งผ่านคลอง คู หรือร่องไปยังแปลงนา ซึ่งการให้น้ำผิวดินมีข้อดี คือ มีต้นทุนค่อนข้างต่ำ เนื่องจากไม่ต้องใช้อุปกรณ์หรือโครงสร้างพื้นฐานราคาแพง ใช้งานง่ายและต้องการความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคเพียงเล็กน้อย ทำให้เกษตรกรรายย่อยสามารถเข้าถึงได้ อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อเสียบางประการ เช่น การใช้น้ำมากเกินไปอาจนำไปสู่การพังทลายของดินและการเสื่อมโทรมของดิน การจ่ายน้ำไม่ทั่วถึงทำให้การเจริญเติบโตและผลผลิตพืชผลไม่สม่ำเสมอ
  • ชลประทานแบบสปริงเกลอร์: โดยน้ำจะถูกจ่ายผ่านท่อน้ำไปยังหัวสปริงเกลอร์ที่ติดตั้งในแปลงปลูก ซึ่งสปริงเกลอร์จะถูกออกแบบให้กระจายน้ำในลักษณะที่ควบคุมได้ ทำให้น้ำกระจายลงทั่วแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ มักใช้กับแปลงปลูกพืชผลหลายชนิด รวมทั้งผัก ผลไม้ และดอกไม้ มีข้อดี คือ ประหยัดน้ำ เนื่องจากช่วยให้ใช้น้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการสูญเสียเนื่องจากการระเหยหรือการไหลเจิ่งนอง ให้การกระจายน้ำที่ทั่วถึง ทำให้พืชเจริญเติบโตและให้ผลผลิตได้อย่างสม่ำเสมอ ส่วนข้อเสีย คือ ต้นทุนเริ่มต้นสูง มีต้นทุนดำเนินงานจากการการสูบและจ่ายน้ำ และการบำรุงรักษา
  • ชลประทานน้ำแบบหยด : การให้น้ำหยดเป็นเทคนิคการให้น้ำที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย วิธีนี้ จะค่อยๆ ให้น้ำหยดลงบนดินใกล้กับรากพืชโดยตรงผ่านท่อน้ำและตัวปล่อยหยดน้ำ ซึ่งช่วยให้น้ำแก่พืชในลักษณะที่ควบคุมได้ ลดการสูญเสียเนื่องจากการระเหย มักใช้กับพืชหลากหลายชนิด รวมทั้งผัก ผลไม้ และดอกไม้ ข้อดี คือ ช่วยให้ใช้น้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการสูญเสียเนื่องจากการระเหย สามารถปรับปรุงคุณภาพของพืชผลได้โดยการให้น้ำและสารอาหารในปริมาณที่ต้องการโดยตรงไปยังรากพืช ทำให้พืชเจริญเติบโตและให้ผลผลิตได้สม่ำเสมอช่วยลดต้นทุนแรงงานได้ เนื่องจากต้องใช้เวลาและความพยายามในการทำงานและบำรุงรักษาน้อยกว่าวิธีการให้น้ำแบบอื่นๆ ส่วนข้อเสีย คือ เงินลงทุนเริ่มแรกสูง ต้องมีการบำรุงรักษาเป็นประจำ และอาจจะสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อศัตรูพืชและโรคต่างๆ ได้ เนื่องจากมีสภาพแวดล้อมที่ชุ่มชื้นสม่ำเสมอ

สำหรับเกษตรกรที่วางแผนจะวางระบบชลประทานภายในแปลงปลูกนั้นจำเป็นต้องเลือกวิธีการให้น้ำที่เหมาะสมสำหรับพื้นที่เกษตรกรรมของตน โดยพิจารณาจาก ชนิดของพืชและพันธุ์พืชที่ต้องการปลูก ชนิดและเนื้อดินเพราะดินแต่ละชนิดมีความสามารถในการอุ้มน้ำต่างกัน และดินบางชนิดอุ้มน้ำได้ง่ายกว่าชนิดอื่น  ความลาดชันของที่ดิน ลักษณะกีดขวาง และคุณลักษณะอื่น ๆ ของพื้นที่ที่อาจส่งผลต่อการกระจายน้ำ ความพร้อมของแหล่งน้ำ ต้นทุนและโครงสร้างพื้นฐาน สภาพอากาศของภูมิภาคที่อาจส่งผลต่อความต้องการน้ำของพืชผล การเลือกวิธีการชลประทานที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดีและลดต้นทุนการทำการเกษตรได้

สามารถสืบค้นผลงานวิจัยและองค์ความรู้การเกษตร ได้ที่  https://tarr.arda.or.th

พันธมิตร

Chulabook