งาม้อน หรืองาขี้ม้อน กำลังเป็นส่วนผสมขนมอบที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน และมีตลาดที่ขยายตัวมากขึ้นเมื่อผู้บริโภคเริ่มให้ความสนใจกันอย่างแพร่หลาย ที่จริงแล้วคำว่างาขี้ม้อนนั้นจะใช้กันมากในบริเวณทางเหนือ แต่หากไปทางแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะตักคำว่า งา ออกไปเหลือเพียงคำว่า ขี้ม้อน แต่เมื่อมาใช้กันในภาคกลางหรือกรุงเทพอาจจะเรียกกันสั้นๆ ว่า งาม้อน เป็นพืชที่พบได้ทั่วไปในประเทศแถบเอเชียของเรา และคาดว่าจะมีแหล่งกำเนิดในภูมิภาคนี้ โดยในประเทศไทยเรานั้นพบได้ทั่วไปในทุกจังหวัด โดยแต่เดิมนั้นจะพบมากในทางภาคเหนือจนถูกยกให้เป็น “พืชโอเมก้าปลายดอย”
ปัจจุบัน งาม้อน หรืองาขี้ม้อน ได้รับความนิยมมากขึ้น ด้วยการเผยแพร่ข้อมูลถึงสรรพคุณและคุณประโยชน์ในพืชชนิดนี้ ที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 มีคุณค่าต่อสุขภาพที่น่าสนใจและมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ลดอาการอักเสบ ส่งเสริมการยับยั้งเนื้องอก และมีสารต้านอนุมูลอิสระ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
- การกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน: งาม้อนมีสารสำคัญอย่างแอลฟา-ลินอเลนิค (Alpha-linolenic acid) ที่มีประโยชน์ต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เมื่อร่างกายมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่ง จะช่วยป้องกันการติดเชื้อและโรคต่างๆ ได้มากขึ้น
- ลดอาการอักเสบ: สารสำคัญที่มีอยู่ในงาม้อนเช่น โอเมก้า-3 กรดไขมัน (Omega-3 fatty acids) มีคุณสมบัติในการลดอาการอักเสบภายในร่างกาย เช่น ลดอาการอักเสบของเส้นเลือด ลดอาการอักเสบของข้อต่อ และลดอาการอักเสบในกระเพาะอาหาร
- ส่งเสริมการยับยั้งเนื้องอกเ: งาม้อนมีสารสำคัญที่เรียกว่า Rosmarinic acid ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและสารยับยั้งเนื้องอกได้
- มีสารต้านอนุมูลอิสระ: งาม้อนเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระที่สามารถก่อให้เกิดพิษต่อร่างกายได้ สารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเส้นเลือด โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และโรคเส้นประสาทต่างๆ
การนำงาม้อน หรืองาขี้ม้อนมาใช้ประโยชน์ทางด้านโภชนาการนั้นมีมานานมากแล้ว ทั้งนำมารับประทานเป็นส่วนผสมของอาหาร บ้างก็นำไปคลุกกับข้าวเหนียวรับประทานได้เลย ทางเหนือเรียกว่า ข้าวหนุกงา และทำเป็นข้าวหลาม รวมทั้งการนำมาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในลักษณะการแปรรูปเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา เช่น ทำเป็นแผ่นแป้งผสมงาขี้ม้อน นอกจากนี้ยังสามารถนำเมล็ดงามาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหยนำมาใช้ในการผลิตอาหารเสริมและเครื่องประทินผิวต่างๆ และส่วนของใบสดที่มีลักษณะรูปไข่ปลายใบแหลมนั้นนำมาใช้เป็นผักสด ที่เรียกกันว่า รับประทานผักเป็นยา เพราะในใบสดสามารถใช้เป็นสมุนไพรได้ด้วยเช่นกัน จึงกลายเป็นพืชที่ได้รับความนิยมนำไปปลูกเป็นพืชสวนครัวในบ้านเรือนของคนทั่วไป เพื่อใช้ประโยชน์เป็นทั้งอาหารและสมุนไพรนั่นเอง