สามารถสืบค้นผลงานวิจัยและองค์ความรู้การเกษตร ได้ที่ https://tarr.arda.or.th/ปี 2565

ยางพาราไทย: ก้าวกระโดดสู่นวัตกรรมเพื่อความปลอดภัยและความยั่งยืนระดับโลก

ยางพาราเป็นทรัพยากรที่มีค่าอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทยและตลาดโลก ประเทศไทยครองตำแหน่งผู้ส่งออกน้ำยางดิบอันดับหนึ่งของโลก ด้วยส่วนแบ่งตลาดที่สูงมาก น้ำยางธรรมชาติหรือลาเท็กซ์เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตสินค้าหลากหลายประเภท ตั้งแต่อุปกรณ์การแพทย์ อุปกรณ์กีฬา ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถุงมือยางทางการแพทย์ ที่นิยมใช้ยางธรรมชาติเนื่องจากมีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมทั้งในด้านความยืดหยุ่น ความทนทาน และความสามารถในการป้องกันการฉีกขาด

แม้ว่าความต้องการยางพาราในตลาดโลกจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่เศรษฐกิจโลกที่ผันผวนส่งผลให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างการผลิตและการบริโภค ทำให้ราคายางพาราลดลง นอกจากนี้ การแข่งขันทางเศรษฐกิจและข้อตกลงการค้าเสรียังนำไปสู่การใช้มาตรการที่ไม่เกี่ยวกับภาษีเป็นเครื่องมือกีดกันทางการค้า โดยเฉพาะกับผลิตภัณฑ์ถุงมือทางการแพทย์จากน้ำยางธรรมชาติ เนื่องจากมีรายงานการแพ้ในต่างประเทศ ส่งผลให้องค์การอนามัยโลก (WHO) พยายามกำหนดมาตรฐานเกี่ยวกับปริมาณโปรตีนในน้ำยางธรรมชาติที่ใช้ในการผลิตอุปกรณ์การแพทย์ แม้ว่ายางสังเคราะห์จะเป็นคู่แข่งที่สำคัญ แต่ยางธรรมชาติยังคงมีคุณสมบัติที่เหนือกว่าในหลายด้าน

เครดิตภาพ: Rubber trees, Thenmala โดย Vis M | Wikimedia Commons | CC BY-SA 4.0

การใช้ถุงมือยางลาเท็กซ์ธรรมชาติในวงการแพทย์เริ่มแพร่หลายตั้งแต่ปี 1987 เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค อย่างไรก็ตาม การใช้งานอย่างแพร่หลายนี้นำไปสู่การเพิ่มขึ้นของภาวะแพ้ลาเท็กซ์ ทั้งจากการสัมผัสโดยตรงและการสูดดมแป้งที่มีโปรตีนลาเท็กซ์ปนเปื้อน โดยพบความชุกของภาวะแพ้ลาเท็กซ์ในบุคลากรทางการแพทย์ทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 9.7-12.4% ซึ่งสูงกว่าประชากรทั่วไป และในประเทศไทยพบความชุกสูงถึง 13.3-24% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก

การแก้ปัญหาการแพ้ลาเท็กซ์เป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพารา ประเทศพัฒนาแล้วได้ใช้มาตรการลดภาวะแพ้ลาเท็กซ์ โดยเปลี่ยนมาใช้ถุงมือยางลาเท็กซ์ชนิดไร้แป้ง ชนิดโปรตีนต่ำ หรือยางสังเคราะห์ ซึ่งพบว่าสามารถลดความชุกของภาวะแพ้ลาเท็กซ์ได้อย่างมีนัยสำคัญ งานวิจัยก่อนหน้านี้ชี้ให้เห็นว่า แม้ปริมาณโปรตีนรวมในยางพาราแต่ละสายพันธุ์จะไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ปริมาณโปรตีนก่อภูมิแพ้กลับมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ นำไปสู่ความจำเป็นในการพัฒนาวิธีการวิเคราะห์โปรตีนก่อภูมิแพ้ที่แม่นยำและเป็นมาตรฐาน

เพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดโลกและสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมยางพารา ประเทศไทยจำเป็นต้องดำเนินการพัฒนาการวิจัยตั้งแต่ต้นน้ำ โดยคัดเลือกสายพันธุ์ยางที่มีโปรตีนก่อภูมิแพ้ต่ำ แต่ยังคงให้ผลผลิตสูง กำหนดมาตรฐานการทดสอบโปรตีนก่อภูมิแพ้ในผลิตภัณฑ์ยางที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เช่น FDA ของสหรัฐอเมริกา ส่งเสริมการผลิตและใช้น้ำยางที่มีโปรตีนก่อภูมิแพ้ต่ำในอุตสาหกรรม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางที่มีคุณภาพสูง ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) สนับสนุนทุนวิจัยในโครงการ “การคัดเลือกพันธุ์ยางแนะนำที่มีโปรตีนก่อภูมิแพ้ต่ำและการพัฒนาวิธีการวิเคราะห์โปรตีนก่อภูมิแพ้ต่ำในมาตรฐานอุตสาหกรรมน้ำยางพาราและถุงมือยาง” โดยคณะวิจัยได้ค้นหาพันธุ์ยางที่มีโปรตีนก่อภูมิแพ้ต่ำและพัฒนาวิธีวิเคราะห์โปรตีนในยางพาราที่ระบุถึงปริมาณและชนิดของโปรตีนก่อภูมิแพ้ได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งสร้างฐานข้อมูลโปรตีนก่อภูมิแพ้ในน้ำยางสายพันธุ์ต่างๆ และพัฒนาวิธีตรวจสอบที่ใช้งานได้จริง นำไปสู่การจัดทำมาตรฐานการวิเคราะห์ และศึกษาชนิดและปริมาณของโปรตีนก่อภูมิแพ้ในน้ำยางและผลิตภัณฑ์ถุงมือยางจากสายพันธุ์ที่มีโปรตีนก่อภูมิแพ้ต่ำในระดับกึ่งอุตสาหกรรม เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราให้มีความปลอดภัยต่อผู้ใช้มากขึ้น

สามารถสืบค้นผลงานวิจัยและองค์ความรู้การเกษตร ได้ที่  https://tarr.arda.or.th

พันธมิตร

Chulabook