ธาลัสซีเมียเป็นโรคโลหิตจางทางพันธุกรรมที่ส่งผลต่อการผลิตฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง แบ่งเป็นสองประเภทหลักคือ แอลฟ่า-ธาลัสซีเมียและเบต้า-ธาลัสซีเมีย ในประเทศไทยยังพบความผิดปกติของฮีโมโกลบินอีด้วย สถิติชี้ว่าประมาณร้อยละ 30-40 ของคนไทยเป็นพาหะ และมีเด็กเกิดใหม่เป็นโรคนี้ราว 12,000 คนต่อปี ส่งผลให้รัฐบาลต้องใช้งบประมาณในการรักษาสูงถึงกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี
โรคธาลัสซีเมียมีระดับความรุนแรงแตกต่างกัน โดยผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงจำเป็นต้องได้รับเลือดอย่างสม่ำเสมอ แต่การรับเลือดบ่อยๆ ก็นำมาซึ่งภาวะเหล็กเกินที่ส่งผลเสียต่ออวัยวะสำคัญ แม้จะมียาขับเหล็ก แต่ก็มีผลข้างเคียงที่ต้องระวัง การรักษาที่หายขาดคือการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด แต่ยังทำได้เฉพาะในโรงพยาบาลขนาดใหญ่เท่านั้น
ด้วยข้อจำกัดของการรักษาแบบดั้งเดิม การวิจัยสมุนไพรไทยจึงมีบทบาทสำคัญ ทั้งในแง่ของการรักษา การบรรเทาอาการ และการลดค่าใช้จ่าย ซึ่งจะส่งผลดีต่อความมั่นคงทางสุขภาพและเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
เครดิตภาพ: Turmeric root โดย Badagnani | Wikimedia Commons | CC BY 3.0
ขมิ้นชันเป็นสมุนไพรที่น่าสนใจ ด้วยสาร curcuminoids ที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ และขับเหล็ก การทดลองในสัตว์พบว่าขมิ้นชันสามารถลดระดับสารอันตรายในเลือดและการสะสมของเหล็กในอวัยวะได้ แม้จะมีงานวิจัยสนับสนุนอยู่บ้าง แต่ยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันความปลอดภัยและประสิทธิภาพในมนุษย์
สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. ได้สนับสนุนทุนวิจัยโครงการ “ผลของการใช้สารสกัดจากขมิ้นชันแคปซูล Antiox M ในการเสริมการรักษาโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียชนิดพึ่งพาเลือด ที่มีต่อภาวะเครียดออกซิเดชัน ภาวะเหล็กเกิน ภาวะเลือดแข็งตัวเร็วกว่าปกติ และการอักเสบ” โดยมี ผศ.ดร.นพ.ภัทรบุตร มาศรัตน จากมหาวิทยาลัยมหิดลเป็นหัวหน้าโครงการ งานวิจัยนี้มุ่งศึกษาผลของขมิ้นชันต่อภาวะเครียดออกซิเดชัน ภาวะเหล็กเกิน ภาวะเลือดแข็งตัวเร็ว และการอักเสบในผู้ป่วย เป็นการต่อยอดจากงานวิจัยก่อนหน้า โดยเน้นศึกษาในกลุ่มผู้ป่วยที่ต้องพึ่งพาเลือดและหาระยะเวลาการใช้ที่ให้ผลชัดเจนที่สุด
ผลการวิจัยนี้จะเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับแพทย์ในการวางแผนรักษาผู้ป่วยธาลัสซีเมีย ช่วยลดการใช้ยาแผนปัจจุบันที่นำเข้าจากต่างประเทศ และเป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วยที่มีผลข้างเคียงจากยาแผนปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังเป็นการสนับสนุนการใช้สมุนไพรไทยในการรักษาโรคธาลัสซีเมียที่มีความรุนแรงหลายระดับ อาจนำไปสู่การพัฒนาทางเลือกในการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และมีค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมกว่า ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศในระยะยาว
ความสำเร็จของงานวิจัยนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้มีการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับการใช้สมุนไพรไทยในการรักษาโรคอื่นๆ ต่อไป สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของการแพทย์แผนไทยในการร่วมแก้ปัญหาสาธารณสุขของประเทศอย่างยั่งยืน