ผึ้งพันธุ์มีความสำคัญอย่างมากต่อระบบนิเวศและเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคเหนือ ที่มีฟาร์มผึ้งหลากหลายขนาด ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตน้ำผึ้งอันดับที่ 36 ของโลกและอันดับ 2 ในอาเซียน ด้วยผลผลิตน้ำผึ้งประมาณ 10,110 ตันต่อปี จากเกษตรกรผู้เลี้ยงผึ้ง 1,215 ราย และผึ้งพันธุ์กว่า 350,000 รัง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมนี้ในประเทศ (ศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรด้านแมลงเศรษฐกิจ, 2558)
น้ำผึ้งไทยส่วนใหญ่ผลิตจากดอกไม้หลากหลายชนิด เช่น ลำไย ลิ้นจี่ งา กาแฟ ทานตะวัน และสาบเสือ มีการส่งออกไปยังประเทศต่างๆ อาทิ ไต้หวัน สหรัฐอเมริกา อินโดนีเซีย แคนาดา และจีน นอกจากน้ำผึ้งแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์จากผึ้งอื่นๆ ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ เช่น นมผึ้ง เกสร และไขผึ้ง (สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 6, 2548) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของผลิตภัณฑ์จากอุตสาหกรรมนี้
เครดิตภาพ: Apis mellifera (Western honey bee) โดย Andreas Trepte | Wikimedia Commons | CC BY-SA 2.5
อย่างไรก็ตาม เกษตรกรผู้เลี้ยงผึ้งกำลังเผชิญกับปัญหาหลายประการ ทั้งด้านการผลิตและการตลาด ปัญหาสำคัญด้านการผลิต ได้แก่ การปรับปรุงสายพันธุ์ การใช้สารเคมีในพื้นที่เกษตร การขาดแคลนแหล่งอาหารผึ้ง และต้นทุนอาหารเสริมที่สูง ซึ่งคิดเป็นกว่าร้อยละ 25 ของต้นทุนทั้งหมด ส่วนปัญหาด้านการตลาด ได้แก่ การขาดอำนาจต่อรองราคา (สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 6, 2548) ปัญหาเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมผึ้งของไทยให้ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
โครงการ “การใช้เศษเหลือจากการผลิตลำไยเพื่อผลิตเป็นอาหารเสริมทดแทนการขาดแคลนอาหารในธรรมชาติสำหรับเลี้ยงผึ้งพันธุ์ (Apis mellifera L.) ” ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจาก สวก.มุ่งแก้ปัญหาการขาดแคลนอาหารผึ้งในธรรมชาติ โดยพัฒนาอาหารเสริมคาร์โบไฮเดรตจากลำไยเกรด B ซึ่งเป็นวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร โครงการนี้มีวัตถุประสงค์หลักคือพัฒนากระบวนการผลิตอาหารเสริมสำหรับผึ้ง ทดสอบประสิทธิภาพของอาหารเสริมต่อสุขภาพผึ้ง และพัฒนาเครื่องคั้นน้ำเชื่อมลำไยต้นแบบสำหรับฟาร์มผึ้ง
คณะผู้วิจัยได้พัฒนาเครื่องคั้นน้ำผลไม้แบบเกลียวอัดแยกกากที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถผลิตน้ำเชื่อมจากลำไยสดได้มากกว่า 500 กิโลกรัมต่อวัน เครื่องนี้ใช้ระบบเกลียวอัดทำจากสแตนเลส มีการออกแบบพิเศษเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 3 แรงม้า นอกจากนี้ ยังได้ปรับปรุงคุณภาพน้ำเชื่อมลำไยด้วยวิธีทางชีวภาพ โดยใช้เอนไซม์และกรดอินทรีย์ในอุณหภูมิต่ำ เพื่อลดการเกิด HMF และยืดอายุการเก็บรักษา
นอกจากการพัฒนาเครื่องจักรและปรับปรุงคุณภาพน้ำเชื่อม คณะผู้วิจัยยังได้คัดแยกเชื้อราที่มีประสิทธิภาพในการผลิตเอนไซม์อินเวอร์เทส และปรับปรุงกระบวนการผลิตเอนไซม์ให้มีต้นทุนต่ำ โดยใช้กากลำไยเหลือทิ้งจากการแปรรูป เพื่อนำไปใช้ในการปรับสภาพน้ำเชื่อมลำไยสำหรับเลี้ยงผึ้งพันธุ์ต่อไป
โครงการวิจัยนี้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการแก้ปัญหาการขาดแคลนอาหารผึ้งในธรรมชาติและการลดต้นทุนการเลี้ยงผึ้ง โดยใช้นวัตกรรมในการแปรรูปวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรให้เป็นประโยชน์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเลี้ยงผึ้ง ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน ซึ่งเป็นแนวทางที่สำคัญในการพัฒนาภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมผึ้งของประเทศไทยในอนาคต