โรคโควิด-19 จากเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 เป็นโรคอุบัติใหม่ที่องค์การอนามัยโลกประกาศให้เป็นการระบาดใหญ่ทั่วโลกในเดือนมีนาคม 2563 เชื้อแพร่ผ่านละอองฝอยและการสัมผัส เข้าสู่ร่างกายทางตัวรับ ACE2 ที่ทางเดินหายใจ ก่อให้เกิดอาการตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงปอดอักเสบรุนแรงและภาวะพายุไซโตไคน์ที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัว แม้มีวัคซีนป้องกันโรค แต่การกลายพันธุ์ของเชื้อยังคงท้าทาย ส่งผลกระทบกว้างขวางทั้งด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม ในสถานการณ์ที่ยังไม่มียาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ การพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบจึงเป็นแนวทางสำคัญในการรับมือกับโรคนี้ ควบคู่กับมาตรการป้องกันการติดเชื้อที่เข้มงวด
เครดิตภาพ: Andrographis paniculata (Burm.f.) Nees โดย Dinesh Valke | Wikimedia Commons | CC BY-SA 2.0
ฟ้าทะลายโจร (Andrographis paniculata) นับเป็นสมุนไพรที่มีประวัติการใช้เป็นยาพื้นบ้านมายาวนานทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ จนได้รับการบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 สำหรับรักษาอาการของระบบทางเดินหายใจและทางเดินอาหารในรูปแบบยาเดี่ยว สารสำคัญในฟ้าทะลายโจร โดยเฉพาะกลุ่มแอนโดรกราโฟไลด์ นีโอแอนโดรกราโฟไลด์ และไอโซแอนโดรกราโฟไลด์ ที่พบมากในใบของพืชที่มีอายุเก็บเกี่ยว 110-130 วัน แสดงคุณสมบัติทางเภสัชวิทยาที่หลากหลายทั้งการต้านการอักเสบ ต้านเกล็ดเลือด เสริมภูมิคุ้มกัน และต้านเชื้อจุลชีพหลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งฤทธิ์ต้านไวรัสที่มีโครงสร้างแบบมีเปลือกหุ้ม ซึ่งรวมถึงเชื้อไวรัสที่ก่อโรคสำคัญหลายชนิด ทีมนักวิจัยไทยนำโดย รองศาสตราจารย์ ดร. เภสัชกร เนติ วระนุช และ ศาสตราจารย์ ดร. ภาวพันธ์ ภัทรโกศล ในปี พ.ศ. 2563 จากการค้นพบประสิทธิภาพของสารสกัดฟ้าทะลายโจรในการยับยั้งไวรัสที่มีโครงสร้างแบบมีเปลือกหุ้ม ได้เปิดมิติใหม่ในการพัฒนายาจากสมุนไพรไทยเพื่อรับมือกับโรคโควิด-19 และตอกย้ำศักยภาพของสมุนไพรไทยในการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับรักษาโรคโควิด-19 ในอนาคต
สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) ได้สนับสนุนทุนวิจัยแก่ทีมวิจัยในโครงการ “การพัฒนาสารสกัดฟ้าทะลายโจรไมโครพาร์ติเคิลสำหรับการบริหาร ยาเข้าสู่ปอดเพื่อป้องกันและรักษาการติดเชื้อไวรัสที่ปอด” เพื่อต่อยอดสู่การพัฒนานวัตกรรมยาสูดพ่นรูปแบบไมโครพาร์ติเคิล ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพการนำส่งยาเข้าสู่ปอดโดยตรง ด้วยข้อดีทั้งการควบคุมการละลายของตัวยา การเพิ่มชีวปริมาณออกฤทธิ์ แกระจายยาในพื้นที่เป้าหมาย ลดการขับออกโดยขนของหลอดลม และเพิ่มระยะเวลาที่ยาอยู่ในถุงลม ซึ่งจะใช้ขนาดยาน้อยกว่าการรับประทาน ทำให้ลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงและปฏิกิริยาระหว่างยากับระบบภูมิคุ้มกัน ความมุ่งมั่นของทีมวิจัยในการศึกษาครอบคลุมตั้งแต่การยืนยันความเข้มข้นที่เหมาะสม การตรวจสอบความปลอดภัย การพัฒนาเทคโนโลยีไมโครพาร์ติเคิล ไปจนถึงการทดสอบประสิทธิภาพในระดับห้องปฏิบัติการ สะท้อนถึงความเข้มแข็งของวงการวิจัยไทยในการพัฒนายาจากสมุนไพรพื้นบ้าน ความสำเร็จของงานวิจัยนี้ช่วยลดการพึ่งพายานำเข้าและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และยังสอดคล้องกับนโยบาย Thailand 4.0 ในการสร้างนวัตกรรมจากทรัพยากรท้องถิ่น องค์ความรู้ที่ได้จากโรงการวิจัยยังสามารถต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ และเป็นต้นแบบการพัฒนายาสมุนไพรไทยในระดับสากล นับเป็นความภาคภูมิใจของวงการวิทยาศาสตร์การแพทย์ไทยที่สามารถพัฒนานวัตกรรมระดับโลกจากภูมิปัญญาท้องถิ่น