อุตสาหกรรมอาหารไทยนับเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญของเศรษฐกิจ ด้วยมูลค่าการส่งออกสูงถึง 1.1 ล้านล้านบาทในปี 2564 แต่กำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่จากการเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับโลกและภายในประเทศ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและเล็กที่ต้องรับมือกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ภาวะเงินเฟ้อ และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์อย่างเร่งด่วนเพื่อธำรงความสามารถในการแข่งขันระดับสากล
แนวโน้มการบริโภคอาหารในศตวรรษที่ 21 กำลังก้าวสู่มิติใหม่ที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพอย่างองค์รวม อาหารถูกมองเป็นมากกว่าเพียงแหล่งพลังงาน แต่กลายเป็นเครื่องมือเชิงป้องกันและบำบัดสุขภาพ ผู้บริโภคเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของโภชนาการเฉพาะบุคคล ต้องการอาหารที่ตอบโจทย์ความต้องการทางสรีระ จิตใจ และวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน ซึ่งสร้างความท้าทายให้อุตสาหกรรมอาหารต้องคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โอกาสสำคัญของอุตสาหกรรมอาหารไทยอยู่ที่การพัฒนาอาหารเฉพาะบุคคล ซึ่งคาดว่าจะเติบโตถึง 16,700 ล้านเหรียญในปี 2569 ประเทศไทยจึงต้องเร่งลงทุนในงานวิจัย นวัตกรรม และเทคโนโลยีใหม่ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมอาหารให้สอดรับกับความต้องการของตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
การพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเฉพาะบุคคลกำลังกลายเป็นทิศทางใหม่ของอุตสาหกรรมอาหาร โดยมุ่งเน้นการออกแบบอาหารที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะกลุ่ม ตั้งแต่อาหารตามลักษณะทางพันธุกรรม อาหารสำหรับช่วงวัยต่างๆ ไปจนถึงอาหารสำหรับกลุ่มวีแกน ซึ่งสะท้อนถึงความเข้าใจในความหลากหลายของผู้บริโภคที่เพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมนี้ยังประสบความท้าทายสำคัญ โดยพบว่างานวิจัยส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 73 ยังคงติดอยู่ในระดับห้องปฏิบัติการ และยังไม่สามารถขยายผลสู่เชิงพาณิชย์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
เพื่อเป็นการก้าวข้ามข้อจำกัดดังกล่าว สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ โดยเฉพาะโรงงานบริการนวัตกรรมอาหารที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้อย่างครบวงจร ตั้งแต่การทดสอบแนวคิดจนถึงการผลิตในระดับอุตสาหกรรม รวมทั้งศูนย์วิจัยเฉพาะทางที่ครอบคลุมกระบวนการพัฒนา ตั้งแต่โรงงานนำร่อง การพัฒนาจุลินทรีย์ ไปจนถึงการทดสอบความปลอดภัยด้วยศูนย์สัตว์ทดลองมาตรฐานสากล ซึ่งช่วยสนับสนุนกระบวนการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารอย่างเป็นระบบ และพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่เชิงพาณิชย์อย่างมีประสิทธิภาพ
สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) จึงได้สนับสนุนทุนวิจัยในโครงการ “การบริหารจัดการเพื่อพัฒนา RAINS for Semi-Industrial Food Valley (Functional food and Personalized food) ประจำปี 2566” ซึ่งทีมวิจัยจาก วว. มีเป้าหมายชัดเจนในการยกระดับอุตสาหกรรมอาหารไทย โดยมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ ผ่านการบ่มเพาะเทคโนโลยีจากห้องปฏิบัติการสู่ระดับอุตสาหกรรม ด้วยการสนับสนุนให้ผลิตภัณฑ์สามารถกล่าวอ้างทางโภชนาการและสุขภาพ เพื่อดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพและยินดีจ่ายในราคาสูง
โครงการวิจัยนี้ประกอบด้วย 9 โครงการย่อยที่ครอบคลุมนวัตกรรมอาหารหลากหลายประเภท ตั้งแต่เครื่องดื่มสุขภาพไปจนถึงอาหารทางเลือก โดยมีผลิตภัณฑ์โดดเด่นหลายรายการ อาทิ เครื่องดื่มบำรุงสายตา เครื่องดื่มใยอาหารสูงจากธัญพืชโฮลเกรน เครื่องดื่มสมุนไพรตรีผลา เครื่องดื่มพลังงานจากอินทผาลัม ในขณะที่กลุ่มอาหารและขนมก็มีนวัตกรรมน่าสนใจ เช่น ผงชงดื่มรสเมล่อนแลคโตสฟรี ไอศกรีมแห้งแบบแช่แข็งระเหิดจากแป้งข้าวเม่าดัดแปร ผลิตภัณฑ์ไข่จากพืช ข้าวเกรียบปลาเสริมโปรตีน และขนมอาลัวสมุนไพรสำหรับวัยรุ่น ซึ่งแต่ละผลิตภัณฑ์มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างสุขภาพและตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคล
เพื่อให้การถ่ายทอดเทคโนโลยีมีประสิทธิภาพ โครงการได้คัดเลือกผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ โดยกำหนดให้ร่วมลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ของมูลค่าการวิจัย ซึ่งจะช่วยสร้างความผูกพันและความรับผิดชอบร่วมกัน จุดเด่นสำคัญคือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่คำนึงถึงความเป็นไปได้เชิงพาณิชย์ การตอบสนองความต้องการผู้บริโภค และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมอาหารอย่างครบวงจร
งานวิจัยนวัตกรรมอาหารนี้สร้างผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรมต่ออุตสาหกรรมอาหารไทย โดยเฉพาะการยกระดับจากการผลิตสินค้าทั่วไปสู่การผลิตนวัตกรรมอาหารมูลค่าสูง ทั้งผลิตภัณฑ์อาหารฟังก์ชั่นและผลิตภัณฑ์อาหารเฉพาะบุคคล ซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับสากล ลดการพึ่งพาการนำเข้าผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรม สร้างรายได้ให้กับผู้เกี่ยวข้องในห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่เกษตรกรจนถึงผู้ประกอบการ และนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน