ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตสิ่งแวดล้อม การจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนได้กลายเป็นประเด็นสำคัญระดับโลก ทำให้องค์กรระดับนานาชาติได้สร้างกลไก “การรับรองป่าไม้” เพื่อรับมือกับปัญหาดังกล่าว ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและการค้าผลผลิตจากสวนป่าและป่าไม้ทั่วโลก เนื่องจากหลายประเทศได้กำหนดนโยบายนำเข้าเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากลเท่านั้น
แม้ยางพาราจะเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ แต่สวนยางพาราส่วนใหญ่ยังไม่ผ่านการรับรองมาตรฐานการจัดการป่าไม้ ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญทางการค้าระหว่างประเทศ โดยในปี 2562 มีหน่วยงานไทยเพียง 11 รายที่ได้รับการรับรอง ครอบคลุมพื้นที่เพียงร้อยละ 0.5 ของพื้นที่ปลูกยางพาราทั้งหมด องค์กรสำคัญที่กำหนดกลไกการรับรองป่าไม้ในระดับสากลคือ Forest Stewardship Council (FSC) ปัญหาสำคัญของการรับรองป่าไม้ในไทยคือ ผู้ทำสวนยางพาราและผู้ประกอบธุรกิจส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจมาตรฐานการรับรอง ทั้งหลักการ เกณฑ์ และตัวชี้วัด ทำให้บางครั้งต้องมีการแก้ไขหรือระงับใบรับรอง และยากที่จะเพิ่มพื้นที่สวนยางพาราที่ได้รับการรับรอง สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการให้ความรู้และสนับสนุนเกษตรกรไทยให้ปรับตัวสู่มาตรฐานสากล เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยางพาราไทยในตลาดโลก และส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนควบคู่ไปกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจแบบ BCG (Bio-Circular-Green Economy) เป็นโมเดลที่ตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ โดยมุ่งเน้นการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ แนวคิดนี้ประกอบด้วยเศรษฐกิจชีวภาพที่ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพอย่างคุ้มค่า เศรษฐกิจหมุนเวียนที่นำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ และเศรษฐกิจสีเขียวที่มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างสมดุลในทุกมิติ
ประเทศไทยได้นำโมเดล BCG มาประยุกต์ใช้ในการขับเคลื่อนภาคการผลิต โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมายต่างๆ รวมถึงอุตสาหกรรมยางพารา ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ ยางพารานอกจากจะสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและประเทศแล้ว ยังถือเป็น “พืชเศรษฐกิจสีเขียว” ที่ช่วยลดภาวะโลกร้อนด้วยการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราตามโมเดล BCG ยังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ทั้งในด้านความเข้าใจของเกษตรกรและผู้ประกอบการต่อมาตรฐานการรับรองป่าไม้และการประยุกต์ใช้โมเดล BCG รวมถึงการขาดข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับต้นทุนการผลิตและผลประโยชน์ที่จะได้รับ การศึกษาวิจัยเพื่อวิเคราะห์สถานะการใช้โมเดล BCG ในอุตสาหกรรมยางพาราตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตลอดจนการศึกษามูลค่าผลพลอยได้และแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการยกระดับอุตสาหกรรมยางพาราของไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว
สวก. ได้สนับสนุนทุนวิจัยในโครงการ “การประเมินมูลค่าต้นทุนการผลิตสวนยางพาราตามมาตรฐาน FSC และการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราอย่างยั่งยืนในภาคใต้ของไทยภายใต้แนวคิด BCG” โดยคณะผู้วิจัยได้ดำเนินการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับต้นทุนการผลิตของสวนยางพาราที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน FSC เปรียบเทียบกับสวนยางพาราทั่วไป พร้อมทั้งสำรวจสถานะการประยุกต์ใช้โมเดล BCG ตลอดห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยางพารา ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ การทำงานของผู้วิจัยครอบคลุมการลงพื้นที่เก็บข้อมูลจากเกษตรกร ผู้ประกอบการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อรวบรวมข้อมูลเชิงประจักษ์เกี่ยวกับปัญหา อุปสรรค และโอกาสในการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราตามแนวทางที่ยั่งยืน
ผลงานวิจัยนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งต่ออุตสาหกรรมการผลิตยางพาราของประเทศ โดยนำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่จะช่วยให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนเข้าใจถึงประโยชน์และความท้าทายของการปรับใช้มาตรฐาน FSC และโมเดล BCG ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่ได้จากการวิจัยจะเป็นแนวทางสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราอย่างยั่งยืน ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในตลาดโลก และยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรผู้ปลูกยาง ทั้งยังสนับสนุนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับประเทศและระดับโลก